Samsung NX300 กล้องดิจิตอล Mirrorless ตัวเล็กๆ ที่อัดแน่นไว้ด้วยเทคโนโลยีระดับไฮเอนด์ พร้อมจะเปลี่ยนคุณให้กลายเป็นช่างภาพระดับมืออาชีพได้อย่างง่ายดาย วันนี้ทีมงานไซเบอร์บิซจะพามารู้จักกับ NX300 กันแบบลึกๆ พร้อมทดสอบประสิทธิภาพกันเต็มที่จากการใช้งานจริง
การออกแบบ
Samsung NX300 ได้รับการออกแบบมาให้ดูคลาสสิก สไตล์เรโทรโมเดิร์น ที่กำลังเป็นที่นิยมกันในหมู่นักสะสมกล้อง มีการออกแบบยางหุ้มโดยรอบตัวกล้องเป็นแบบลายหนังแท้ ที่ช่วยเพิ่มความเป็นวินเทจ ให้ตัวกล้องดูดีมีมูลค่ายิ่งขึ้น คุณสมบัติของยางช่วยเพิ่มความกระชับได้เป็นอย่างดีในขณะใช้งาน ถ้าเรายังจำอารมณ์เมื่อครั้งจับกล้องสุดคลาสสิคอย่าง FM2 กันได้ สัมผัสที่ได้รับจากกล้อง NX300 ก็อารมณ์เดียวกัน
วัสดุที่ใช้เป็นโลหะผสมกับยางสังเคราะห์ลายหนังแท้ ให้ความรู้สึกบึกบึนทนทานและมีสไตล์ที่ลงตัว และด้วยขนาดที่เล็กกะทัดรัดเพียง 122 x 63.7 x 40.7 มม. และน้ำหนัก 284 กรัม (ไม่รวมแบตฯ) ทำให้การพกพาไปไหนต่อไหนไม่ได้เป็นภาระแต่อย่างใด
ด้านหน้า ออกแบบสไตล์วินเทจ ด้วยยางสังเคราะห์ลายหนังแท้ มีโลโก้รุ่น NX300 วางอยู่ทางด้านล่างซ้าย ด้านบนขวาจะเห็นโลโก้ Samsung สีดำบนพื้นโลหะ ปุ่มปลดล็อกเลนส์วางอยู่ในตำแหน่งเดียวกับกล้องโปรทั่วไป และเมาท์เลนส์ที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะของซัมซุง
ด้านบน เลือกใช้วัสดุโลหะทั้งชิ้น โดยจะมีปุ่มเปิด-ปิดเครื่องวางอยู่ในตำแหน่งที่นิ้วโป้งสามารถใช้งานได้สะดวก ถัดลงมาเป็นปุ่มเลือกโหมดการทำงาน โดยแบ่งเป็นโหมด (Auto) Smart Auto, (P) Program, (A) Aperture Priority, (S) Shutter Priority, (M) Manual, (i) Lens Priority, Smart และ Wi-Fi
พร้อมวงแหวนหมุนเพื่อย่อขยายหรือปรับเปลี่ยนค่ารับแสงและความเร็วชัตเตอร์ เยื้องมาทางด้านซ้ายเป็นปุ่ม Direct Link สำหรับกดเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ภายนอกผ่านระบบ Wi-Fi ตรงกลางเป็นฐานแฟลช (Hot Shoe) สำหรับการใช้งานร่วมกับแฟลชภายนอก ทั้งนี้หากสังเกตให้ดีจะเห็นช่องไมโครโฟนแบบสเตอริโอ 2 จุดคล่อมระหว่างฐานแฟลชด้วย โดยทางด้านซ้ายสุดจะเห็นสัญลักษณ์ Full HD ซึ่งแสดงให้เห็นสมรรถนะของกล้อง Samsung NX300 ว่าสามารถถ่ายวิดีโอความละเอียดสูงถึงระดับ 1920 x 1080 พิกเซล ได้เลยทีเดียว
ด้านล่างของตัวเครื่องมีช่องใส่แบตเตอรี่และช่องใส่ SD Card พร้อมฝาปิด ถัดมาเป็นช่องสำหรับต่อกับขาตั้งกล้อง เพื่อความสะดวกในการถ่ายภาพในสภาพแสงน้อย
ด้านซ้ายของตัวเครื่องจะเห็นห่วงสำหรับสายคล้องและสัญลักษณ์ NFC ที่บอกให้รู้ว่า Samsung NX300 รองรับการเชื่อมต่อระยะใกล้ผ่านเทคโนโลยีดังกล่าว ถัดมาเป็นช่องลำโพง และเมื่อมองกลับมาที่ด้านขวาจะเห็นพอร์ต Micro USB สำหรับเสียบสายชาร์จและพอร์ต Micro HDMI สำหรับต่อจอภายนอก
ด้านหลังเป็นหน้าจอสัมผัส AMOLED ขนาด 3.31 นิ้ว แบบ WVGA 800x480 พิกเซล ความละเอียด 768,000 พิกเซล สามารถปรับมุมมองหน้าจอให้เงยขึ้นได้ถึง 90 องศาและก้มลงได้ 45 องศา รองรับการใช้งานแบบ Live View ด้านบนขวาจะเห็นสัญลักษณ์ Wi-Fi เด่นชัด ถัดมาเป็นปุ่มอัดวิดีโอที่ล้อมรอบด้วยยางกันลื่นลายหนังแท้ ช่วยให้กดได้ถนัดมือ ถัดลงมาทางด้านล่างจะเห็นปุ่มเพิ่ม/ลดการชดเชยแสง พร้อมไฟแอลอีดีแสดงสถานะการทำงานของกล้อง ถัดลงมาจะเป็นปุ่มเมนูและฟังก์ชันที่วางอยู่ในระดับเดียวกัน และถัดลงมาอีกจะเห็นปุ่มควบคุม 5 ทิศทางที่รองรับการใช้งานในหลากหลายรูปแบบตามโหมดการใช้งาน อาทิ เลือกแสดงค่าต่างๆในการถ่ายรูป ต้้งค่าความไวแสง (ISO) ตั้งจำนวนภาพในการถ่ายต่อเนื่องและตั้งเวลาถ่ายภาพ ตั้งค่าการโฟกัสภาพ (AF) โดยปุ่มทั้งหมดจะล้อมรอบปุ่ม OK อยู่ตรงกลาง ถัดลงมาด้านล่างสุดจะเป็นปุ่มพรีวิวใช้สำหรับดูภาพที่ถ่ายไปแล้ว ซึ่งวางขนานอยู่กับปุ่มลบภาพ
สเปก
Samsung NX300 มาพร้อมเซ็นเซอร์รับภาพ APS-C CMOS ความละเอียดสูง 20.3 ล้านพิกเซล (5,472x3,648 พิกเซล) รองรับไฟล์ภาพสกุล RAW (SRW ver2.0.0) และ JPEG (EXIF 2.21) รองรับไฟล์ 3D แบบ MPO และไฟล์เสียงแบบ DCF และ DPOF 1.1
ในส่วนค่าความไวแสง (ISO) เริ่มต้นที่ ISO 100 และสูงสุดถึง ISO 25600 สามารถเลือกตั้งค่าเป็น AutoISO ได้ เพื่อให้กล้องเลือกค่าที่เหมาะสมโดยอัตโนมัติ
เทคโนโลยีประมวลผลแบบ DRIMe IV ช่วยให้ทุกการถ่ายภาพเป็นไปได้ดั่งใจ ทำงานเร็วกว่า สีสันสดใสกว่า เทียบกับเทคโนโลยีประมวลผลรุ่นก่อน พร้อมช่วยลดสัญญาณรบกวนไม่ว่าคุณจะถ่ายแบบ 2D หรือ 3D ก็ตาม
การบันทึกวิดีโอสามารถเลือกถ่ายที่ความละเอียดสูงสุด 1,920x1,080 พิกเซลที่ 50 เฟรมต่อวินาที สามารถตัดต่อวีดีโอบนตัวกล้องได้ทันที พร้อมรองรับการถ่ายแบบ 3D โดยเพิ่มเติมเลนส์พิเศษ (NX 45mm F1.8) ที่เป็นเอกสิทธิ์เฉพาะซัมซุง
เรื่องการโฟกัสนั้น NX300 เลือกใช้ระบบ AF (โฟกัสอัตโนมัติ) แบบไฮบริด ซึ่งเป็นการผสานการทำงานระหว่าง Phase detection AF (105 จุด) กับ Contrast AF (247 จุด) สามารถโฟกัสอัตโนมัติได้รวดเร็วและแม่นยำกว่าการเลือกเพียงอย่างใดอย่างหนึ่ง โดย Phase detection AF จะสามารถระบุระยะห่างของบุคคลหรือวัตถุที่จะถ่ายภาพได้เกือบจะทันที ขณะที่ Contrast AF ช่วยปรับแต่งโฟกัสเพื่อความคมชัดสูงสุดได้อย่างรวดเร็ว โดยทั้งสองฟีเจอร์จะทำงานร่วมกันจนได้ความสามารถสูงสุดที่เรียกระบบ AF Hybrid ซึ่งจะช่วยให้เราโฟกัสภาพได้อย่างแม่นยำ คมชัดสูง และรวดเร็วกว่าระบบเดิม
ผู้ที่สนใจรายละเอียด (Specification) ของ SAMSUNG NX300 เพิ่มเติม สามารถดูได้ที่ Samsung NX300 Official Site
ทดสอบประสิทธิภาพ
สำหรับอุปกรณ์ที่ใช้ร่วมในการทดสอบครั้งนี้นอกจากตัวกล้อง NX300 แล้ว ยังมีเลนส์ Samsung ขนาด 18-55 OIS F3.5 ซึ่งเป็นเลนส์ที่รวมอยู่ในชุด KIT พร้อมแฟลชรุ่น SEF8A และ Micro SD Card ความจุ 2GB ยี่ห้อ KINGMAX ทั้งนี้เนื่องจากกล้องสามารถโอนถ่ายข้อมูลผ่านระบบไวไฟ ได้ทันทีหลังถ่ายภาพ จึงขอนำแท็บเล็ต Samsung Tab 2 มาทดสอบการทำงานร่วมกันในส่วนของฟีเจอร์การบันทึกข้อมูลผ่านระบบดังกล่าว
ก่อนอื่นขอลองทดสอบความแตกต่างของการถ่ายโดยใช้ ISO ในค่าต่างๆที่ให้มา ว่าจะให้ผลลัพธ์ของภาพเป็นอย่างไรบ้าง
จากการทดสอบโดยการถ่ายภาพช่วงเช้าซึ่งแสงยังไม่แรงเท่าไหร่ สัญญาณรบกวน Noise เริ่มมีให้เห็นในความไวแสง ISO 6400 ซึ่งระยะที่สามารถใช้งานจริงได้ในสภาพแสงที่ไม่จัดจะอยู่ที่ ISO 3200 ส่วนการใช้งานในสภาพแสงน้อยกว่านี้ ต้องใช้โหมดการถ่ายภาพแบบ Smart Mode เข้าช่วย ซึ่งโดยรวมการถ่ายภาพที่ความไวแสง ISO 3200 ลงมาภาพที่ได้คมชัดเป็นปกติดี
ส่วนค่า ISO 25600 นั้นเมื่อถ่ายออกมาแล้วไม่สามารถใช้งานได้ครับ เพราะภาพมี Noise มากจนแทบไม่เห็นความงามของภาพแต่อย่างใด ซึ่งหากต้องการถ่ายภาพในเวลากลางคืนจริงแนะนำ Smart Mode ที่มีฟังก์ชันการถ่ายภาพกลางคืนไว้ให้ พร้อมฟังก์ชันการถ่ายเส้นไฟและดอกไม้ไฟในเวลากลางคืนด้วย
ทดสอบ ISO ด้วยค่าความไวแสง 3200 (รูปซ้าย) และ 1600 (รูปขวา) พบว่าภาพที่ได้ค่อนข้างใส สีสันของภาพยังคงความจัดจ้าน แต่อาจจะมีความแตกต่างของระดับสีอยู่บ้างเมื่อใช้เครื่องมือในกล้องตรวจสอบ แต่การมองด้วยตาเปล่าแทบไม่รู้สึกว่าแตกต่างแต่อย่างใด
ภาพแรกเป็นการถ่ายด้วยโหมด A ด้วยความไวแสงที่ ISO100 ความเร็วชัตเตอร์ 1/250 F4.0 ภาพที่ได้สีสันสดใส แม้ว่าจะไม่ได้ใส่ฟิลเตอร์สีเพิ่มเติมแต่อย่างใด
ภาพเปรียบเทียบกับการถ่ายที่เดิม แต่เลือกใช้โหมด P พร้อมใส่ฟิลเตอร์ ’ถ่ายขอบภาพเบลอ’ F5.6 ความไวแสง ISO 200 ความเร็วชัตเตอร์ 1/160 ภาพที่ได้ให้สีสันและดึงจุดสนใจไปที่ส่วนกลางได้ดีเกินคาด เงาจากน้ำสะท้อนได้สมจริงมาก
ภาพต่อไปนี้เป็นการเปรียบเทียบการเลือกใส่ฟิลเตอร์ในแบบต่างๆ ถ่ายในโหมด M ความเร็วชัตเตอร์ 1/25 F3.5 ความไวแสง ISO100 ทางยาวโฟกัส 18 มม. ภาพที่ได้ให้สีเหลืองที่ชัดเจน ขณะที่นอกโฟกัสให้ความเบลอที่แตกต่างส่งให้จุดที่ต้องการโฟกัสเด่นขึ้น
ในส่วนของการใช้งาน Smart Mode ซึ่งมีรูปแบบการถ่ายให้เลือกมากมายเช่น หน้าสวย, ใบหน้าที่ดีที่สุด, ทิวทัศน์, มาโคร, หยุดการเคลื่อนไหว, ริชโทน, พาโนรามา, ภาพเงา, อาทิตย์ตก, ดอกไม้ไฟ, รอยแสง, ถ่ายแบบสร้างสรรค์, กลางคืน โดยในแต่ฟีเจอร์การถ่ายสามารถดูได้จากตัวอย่างภาพด้านบน แต่ต้องขอบอกว่าจะมีแค่บางตัวอย่างเท่านั้น บางโหมดไม่สามารถหาถ่ายได้ในช่วงเวลานี้ แต่โดยรวมแล้วฟีเจอร์นี้ก็ค่อนข้างให้ความสะดวกในการถ่ายภาพได้เป็นอย่างดี สำหรับมือใหม่ที่กำลังหัดถ่ายภาพ เพราะเพียงแค่หมุนไปที่โหมด Smart Mode ที่เป็นสัญลักษณ์กล้องสีดำมีตัวอักษรเอสสีขาวเท่านั้น ฟีเจอร์การถ่ายในรูปแบบต่างๆก็จะสามารถเลือกได้อย่างง่ายดาย
ภาพถัดมาถ่ายทอดเรื่องความเร็วของระบบโฟกัสภาพได้เป็นอย่างดี เพราะการถ่ายภาพเด็กที่ซุกซนตลอดเวลาเป็นสิ่งที่ช่างภาพโปรหลายๆท่านไม่อยากเจอ เนื่องจากการเคลื่อนไหวตลอดเวลาของเด็กทำให้หลุดโฟกัสอยู่บ่อยๆ แน่นอนว่าความเร็วของระบบ ไฮบริด ช่วยได้เยอะ ไม่เชื่อลองดูที่ภาพด้านบนได้
การทดสอบฟีเจอร์ Focus Peaking สำหรับผู้ที่ชื่นชอบการถ่ายด้วยเลนส์มือหมุนซึ่งไม่มีระบบออโต้โฟกัสให้ใช้งาน หลังจากที่ปรับภาพจนได้แสงสีขาวขึ้นบนวัตถุแล้ว เมื่อถ่ายออกมาภาพที่ได้มีความคมชัดเช่นเดียวกับการเลือกระบบออโต้โฟกัส ความสะดวกของการปรับถือว่ามีมากพอสมควร เพราะภาพวัตถุที่เราโฟกัสจะถูกขยายให้ใหญ่ขึ้นเพื่อให้เรามองได้ชัดขึ้น ซึ่งรายละเอียดดูได้จากภาพตัวอย่างด้านบนนี้
การทดสอบขั้นตอนต่อไปเป็นในส่วนของการถ่ายผ่านมือถือหรือแท็บเล็ตแอนดรอยด์ด้วยโปรแกรม Samsung Smart Camera App โดยหลังจากที่มีการเชื่อมต่อตามขั้นตอนที่เครื่องแนะนำแล้ว การปรับไปสู่โหมด Wi-Fi บนตัวกล้องแล้วเลือก ‘Remote Viewfinder’ หน้าจอโทรศัพท์มือถือจะแสดงผลแบบ Live View ดังเช่นที่แสดงบนจอของกล้องทันที โดยการควบคุมผ่านมือถือสามารถปรับแต่งค่าได้บางส่วน เช่นการเปิด-ปิดแฟลช (ในกรณีที่ต่อแฟลชภายนอกไว้แล้ว), การตั้งเวลาถ่าย, การเลือกขนาดภาพที่ถ่าย, การเลือกพื้นที่จัดเก็บโดยสามารถเลือกได้ว่าจะเก็บที่กล้อง หรือทั้งกล้องและมือถือ การถ่ายผ่านมือถือนี้สามารถกดค้างเพื่อโฟกัสภาพอัตโนมัติและเมื่อยกนิ้วขึ้นจากหน้าจอรีโมตชัตเตอร์ก็จะทำงานทันที
ทั้งนี้การทดสอบดังกล่าวในส่วนของ Live View สามารถตอบสนองการแสดงภาพได้แบบทันที ในขณะที่การโฟกัสภาพก็สามารถทำได้อย่างรวดเร็ว หากแต่ฟังก์ชันการปรับแต่งภาพ ยังไม่สามารถเลือกฟิลเตอร์หรือโหมดการปรับแต่งภาพใดๆเข้ามาช่วยได้ นี่เป็นสิ่งที่ซัมซุงยังต้องพัฒนาต่อไป อย่างน้อยก็ให้สามารถเลือกโหมดการถ่ายหรือเลือกฟิลเตอร์ในกล้องมาใช้ได้ ก็จะทำให้ NX300 กลายเป็นกล้องที่ใครๆก็ต้องหลงใหลอย่างแน่นอน
หน้าจอที่สามารถปรับองศาการมองได้ทำให้สามารถสร้างสรรค์ภาพถ่ายในมุมแปลกๆได้อย่างดีเยี่ยม ผู้ที่จะสามารถบอกได้ว่าฟีเจอร์นี้ยอดเยี่ยมแค่ไหนนั้น คงเป็นตัวของผู้ที่ใช้งาน NX300 เอง
การแชร์ภาพผ่านระบบ Wi-Fi หลังจากถ่ายทันทีน่าจะเป็นสิ่งที่หลายๆท่านต้องการเป็นอย่างมาก เพราะความสวยของภาพที่ได้จากกล้องแบบ Mirrorless ที่มีมากกว่ามือถือ จนทำให้หลายๆคนอดใจไม่ไหวที่จะอวดผลงานภาพมาสเตอร์พีซส่วนตัวออกสู่สาธารณะ โดยระบบที่ให้มานั้นสามารถแชร์ภาพขึ้นสู่ระบบคลาวด์ที่ชื่อ AllShare Play หรือจะเป็นเว็บโซเชียลมีเดีย ที่เพียงแค่ตั้งค่าชื่อผู้ใช้พร้อมกรอกรหัสผ่าน หลังจากที่เชื่อมต่อกล้องกับระบบ Wi-Fi แล้ว การเลือกอัพโหลดรูปภาพพร้อมคำบรรยายก็สามารถออกสู่สายตาเพื่อนๆชาวโซเชียลได้อย่างไม่ยากเย็นนัก ทั้งนี้ภาพที่อัปโหลดจะได้รับการย่อขนาดโดยอัตโนมัติเพื่อให้สามารถอัปโหลดได้อย่างรวดเร็วผ่านระบบ Wi-Fi
และหลังจากที่ห้อยกล้องมาทั้งวัน การจะไม่พูดถึงการจับที่เหมาะมือในหลายอิริยาบถของการถ่ายก็ดูจะเป็นเรื่องที่ไม่ครบสมบูรณ์เป็นแน่แท้ การจับกล้องโดยรวมนั้นแม้ว่าผู้ทดสอบเองจะมือใหญ่ แต่ก็สามารถจับถ่ายได้ถนัดมือในส่วนของการถ่ายภาพนิ่ง จะมีบ้างในส่วนของการถ่ายภาพวิดีโอที่ต้องขยับมือเล็กน้อย เพื่อให้สามารถใช้นิ้วโป้งกดลงบนปุ่มอัดวิดีโอได้ดังใจ หากแต่ความเคยชินที่ชอบมองผ่านช่อง View finder ของกล้องโปรก็ทำให้เกิดอาการเขินอยู่บ้างเมื่อเผลอยกกล้องขึ้นมาส่องที่ตาตามความเคยชิน
ขณะที่การใช้งานหน้าจอสัมผัสนั้นสามารถตอบสนองได้ดีในระดับหนึ่ง แต่ก็ยังไม่ประทับใจเท่าไหร่ เนื่องจากมีบ่อยครั้งที่กดไปแล้วระบบดีเลย์กว่าจะตอบสนอง แต่โดยรวมการใช้งานในทุกๆโหมดสลับไปมาก็ไม่เกิดอาการค้างแต่อย่างใด นับว่าลื่นไหลไปได้ตลอดทั้งวัน
และสุดท้ายเป็นส่วนของการใช้งานแบตเตอรี่ที่ให้ปริมาณไฟมาที่ 1130 mAh ซึ่งหากเทียบตามเสปกที่ให้มาว่าสามารถถ่ายได้ประมาณ 320 รูป จำนวนของรูปก็ไม่ทิ้งห่างจากความเป็นจริงเท่าไหร่นัก โดยเท่าที่ชาร์จแบตเตอรี่เต็มจนไฟบอกสถานะดับลง สามารถถ่ายได้ 300 กว่ารูปตามนั้น หากแต่การชาร์จแบตเตอรี่ค่อนข้างกินเวลานานอยู่พอสมควร โดยแม้ว่าจะแบตเตอรี่จะมีความจุอยู่เพียงแค่ 1130 mAh เท่านั้นแต่กลับกินเวลาการชาร์จไฟอยู่ประมาณ 4-5 ชั่วโมงจึงจะเต็ม ถือว่าใช้เวลามากกว่าการชาร์จมือถือที่มีปริมาณไฟเท่าๆกันกว่าเท่าตัว โดยหากต้องการใช้งานต่อเนื่องแบบมือโปรอาจจะต้องหาแบตเตอรี่สำรองพร้อมแท่นชาร์จมาเป็นอุปกรณ์เสริมก่อนออกสนามจริง
ทดสอบถ่ายวิดีโอที่ความละเอียด 1080@50p เข้า Codec: H.264 (.MP4) ความยาว 1.33 นาที ขนาดไฟล์ 168MB ผลที่ได้ระบบการโฟกัสทำได้เงียบและเร็วดี โดยในส่วนของระบบเสียงมีระบบตัดเสียงลมเพื่อเพิ่มความใสของเสียงที่ดีขึ้นกว่าเดิมเล็กน้อยดูตัวอย่างได้จากด้านล่าง
ตอบจุดขาย/ฟันธง! ความคุ้มค่ากับเม็ดเงินที่เสียไป?
จุดเด่นของ NX300 คือความเร็วของการโฟกัสแบบไฮบริดที่ผสมผสาน Phase Detection AF และ Contrast AF ได้อย่างลงตัวทำให้ทุกการเคลื่อนไหวถูกบันทึกลงเป็นภาพถ่ายได้อย่างง่ายดาย อีกทั้งยังมีหน้าจอแบบสัมผัสที่สามารถปรับมุมมองให้ถ่ายภาพได้แบบสร้างสรรค์ตามที่ใจปรารถนาแบบไร้ข้อจำกัดด้านท่าทาง หรือจะเป็นโหมดการถ่ายภาพที่หลากหลายในแบบ Smart Mode ที่พร้อมจะสร้างสรรค์ภาพตามกิจกรรมที่เราต้องการขอเพียงแค่จัดองค์ประกอบภาพได้ เราก็จะได้ภาพถ่ายที่สวยแบบมือโปร
การแชร์ภาพได้อย่างใจนึกก็เป็นอีกหนึ่งความสามารถที่โดดเด่นไม่แพ้ใคร เป็นการรองรับอนาคตของการถ่ายภาพที่ไม่ได้จำกัดอยู่เพียงแค่หน่วยความจำภายในกล้องอีกต่อไป และการทดสอบครั้งนี้สะท้อนให้เห็นแล้วว่า NX300 สามารถตอบโจทย์การใช้งานได้ทั้งเรื่องประสิทธิภาพและการเชื่อมต่อสู่โลกออนไลน์ได้อย่างดีเยี่ยม ไม่แน่ว่าอนาคตของกล้องถ่ายภาพที่ใครว่าจะตกกระป๋องเพราะกล้องบนมือถือพัฒนาไปไกลจนใกล้เคียงกล้องดิจิตอลคอมแพ็ค อาจจะต้องกลับมาคิดใหม่ว่า กล้องประสิทธิภาพสูงต่างหากที่อาจจะเข้าไปกินพื้นที่ในกระเป๋าของคุณเพิ่มเติม
กับราคา 2 หมื่นกลางๆที่ไม่ได้ต่างจากมือถือระดับไฮเอนด์เท่าไหร่นัก โดยเหมาะสำหรับผู้ที่ชื่นชอบถ่ายภาพแบบคุณภาพ แต่ไม่ต้องการพกพากล้องขนาดใหญ่ หรือจะเป็นมือสมัครเล่นที่ต้องการภาพที่สวยงาม พร้อมแชร์ออกสู่โซเชียลมีเดียได้แบบง่ายๆ ซึ่งราคาเท่านี้หากเทียบกับความสามารถแล้วนับว่าคุ้มค่า สามารถจับจองมาเป็นเจ้าของได้อย่างไม่ต้องคิดมาก เพราะจากตัวอย่างภาพแล้ว กล้องนี้สามารถบันทึกความซนของลูกน้อยได้อย่างสบายๆ ขอแค่จัดองค์ประกอบของภาพสักนิด นอกนั้นกล้องสามารถจัดการได้หมด เพียงเท่านี้ก็คุ้มค่าแล้วสำหรับการบันทึกภาพแห่งความทรงจำที่มีค่ามากที่สุด
Company Related Link :
Samsung NX300