เป็นเรื่องน่าดีใจเพราะตั้งแต่ทีมงานไซเบอร์บิซเปิดคอลัมน์รีวิวกล้องครั้งแรกเมื่อต้นปีที่แล้วจนมาถึงวันนี้ นี่คือรีวิวกล้องฟูลเฟรมตัวแรกของทีมงานไซเบอร์บิซกับ Canon EOS 6D ที่มีจุดเด่นในเรื่องการเป็นกล้องฟูลเฟรมถ่ายได้ทุกสภาพแสง Noise น้อย มาพร้อม WiFi และ GPS ในตัว
การออกแบบ
สำหรับ Canon EOS 6D เป็นกล้องฟูลเฟรมที่มีน้ำหนักเบา (เฉพาะบอดี้) ประมาณ 680 กรัมเท่านั้น เพราะใช้วัสดุเป็นแมกนีเซียมอัลลอยควบคู่โพลีคาร์บอเนตในบางส่วน
โดยตัวกล้องเน้นจับกลุ่มใหม่ จากเดิมฟูลเฟรมจะจับกลุ่มผู้ใช้เฉพาะมืออาชีพ แต่ในรุ่น 6D ทางแคนนอนเน้นจับกลุ่มไปที่ผู้ใช้ระดับกลางที่ต้องการกล้องฟูลเฟรมเพื่อพกพาไปเที่ยวหรือใช้งานระดับเบื้องต้นถึงงานระดับอาชีพ
ด้านจอ TFT LCD แสดงผลด้านหลังจะมีขนาด 3.2 นิ้ว ความละเอียดหน้าจออยู่ที่ 1,040,000 พิกเซล หน้าจอไม่สามารถสัมผัสได้แบบรุ่นน้อง EOS 650D แต่สามารถปรับเข้าสู่โหมด Live View และออโต้โฟกัสผ่านหน้าจอได้ ส่วนช่องมองภาพ Viewfinder ทางแคนนอนยังคงใช้เป็นลักษณะกระจกสะท้อนภาพเหมือนเดิม
และถ้าสังเกตบริเวณปุ่มคำสั่งต่างๆ ให้ดีจะเห็นว่า EOS 6D ให้ปุ่มคำสั่งมาน้อยกว่าฟูลเฟรมรุ่นอื่นของแคนนอนมาก ทำให้การปรับค่าต่างๆ ต้องพึ่งปุ่ม Q (Quick Menu) และอาศัยวงล้อหมุนปรับเหมือนกล้องระดับล่าง-กลางของแคนนอนเป็นหลัก
มาที่ด้านบนตัวกล้อง ยังถือว่าโชคดีที่แคนนอนไม่ได้ตัดหน้าจอแสดงสถานะการปรับแต่งค่าต่างๆ ออก รวมถึงปุ่มคำสั่งปรับระบบสำคัญๆ อย่าง ปุ่มปรับออโต้โฟกัส AF-ON ปุ่มล็อคแสง ปุ่มปรับรูปแบบการถ่ายภาพ (Drive) ปุ่ม ISO (ค่าความไวแสง) ปุ่มปรับส่วนวัดแสง และไฟส่องสว่างหน้าจอเวลาใช้งานในที่มืด ยังคงติดตั้งมาให้ ถึงแม้จะกดใช้งานได้ยากกว่าปกติเล็กน้อย
ส่วนวงล้อปรับโหมดถ่ายภาพ ในรุ่นนี้ติดตั้งมาให้บริเวณด้านซ้ายของกล้องพร้อมสวิตซ์ปิด-เปิดกล้อง โดยโหมดปรับภาพมีให้เลือกใช้ตั้งแต่ ชัตเตอร์ B สามารถใช้ร่วมกับรีโมทและสมาร์ทโฟนผ่าน WiFi ได้ โหมด M แมนวลปรับแต่งค่าได้เองทั้งหมด โหมด Av-Tv ปรับความเร็วชัตเตอร์หรือรูรับแสงได้ โหมด P หรือโปรแกรม และยังมาพร้อมโหมด A+ หรือโหมดออโต้แบบอัจฉริยะแบบเดียวกับกล้องรุ่นเล็กของแคนนอน รวมถึงมาพร้อม Scene Mode ที่มีฟีเจอร์เด็ดอย่าง HDR และโหมดถ่ายภาพในที่แสงน้อยโดยไม่ต้องใช้ขาตั้งกล้อง แบบเดียวกับ EOS 650D ที่ทีมงานเคยรีวิวไปก่อนหน้า
สำหรับช่องเชื่อมต่อต่างๆ จะอยู่ด้านซ้ายของกล้อง เริ่มจากซ้ายมือเป็นช่องเชื่อมต่อรีโมทและอุปกรณ์เสริม ถัดลงมาด้านล่างเป็นช่องต่อไมโครโฟนภายนอก ขวาบนเป็นช่อง A/V Out และ MiniUSB ส่วนล่างขวามือสุดเป็นช่อง MiniHDMI Out
สุดท้ายกับช่องเสียบการ์ดบันทึกข้อมูล ในรุ่น EOS 6D จะไม่ใช่ CF Card เหมือนเดิม แต่เปลี่ยนเป็น SD Card ที่รองรับทุกรูปแบบที่มีขายในท้องตลาด รวมถึงมาตราฐานใหม่อย่าง UHS-I
สเปก
มาดูในเรื่องสเปกของเซนเซอร์รับภาพใน EOS 6D จะใช้ CMOS Sensor (DIGIC 5+) ขนาด 35.8 x 23.9 มิลลิเมตร รองรับความละเอียดภาพสูงสุด 20 ล้านพิกเซล (5,472 x 3,648 พิกเซล ที่อัตราส่วน 3:2) สามารถตั้งถ่ายภาพ RAW และ JPEG พร้อมกันหรือแยกตามความละเอียดแต่ละส่วนได้อย่างอิสระ
ในส่วนระบบออโต้โฟกัสจะมีให้เพียง 11 จุด เป็น Cross-type 1 จุด ที่แคนนอนการันตีว่าสามารถโฟกัสในที่แสงน้อยได้ถึง -3 EV (แคนนอนบอกว่าเป็นกล้องที่โฟกัสได้ยอดเยี่ยมที่สุดตั้งแต่งแคนนอนเคยทำฟูลเฟรมมา) โดยใช้ระบบโฟกัสแบบ Hybrid ระหว่าง Contrast Detect และ Phase Detect พร้อม Face Detection
ส่วนความเร็วสูงสุดสำหรับถ่ายภาพต่อเนื่องอยู่ที่ 4.5 เฟรมต่อวินาที
ด้าน ISO หรือค่าความไวแสงสำหรับ EOS 6D ถือว่าเป็นจุดเด่นที่น่าสนใจเพราะช่วง ISO ที่ใช้งานได้จริง จากการทดสอบถือว่าช่วงกว้างมากตั้งแต่ 100-25,600 ในรูปแบบไฟล์ JPEG ดิบๆ แทบมองไม่เห็น Noise มารบกวนสายตาแต่อย่างใด แต่สำหรับ ISO ที่สูงระดับ H1 (51,200) และ H2 (102,400) Noise ที่ได้ก็ถือว่าอยู่ในระดับกลางๆ ฉุกเฉินก็เรียกใช้งานได้ ไม่น่าเกียจนัก ถ้าไม่ไปขยายดูแบบ 100%
ตัวอย่างภาพที่ใช้ค่าความไวแสงสูง
ISO 102,400 แต่กล้องตั้งให้แค่ 65,535 ในสภาพแสงน้อยกับ Noise ที่เกิดขึ้นพอสมควร แต่ถ้าเทียบกับฟูลเฟรมแคนนอนรุ่นก่อนหน้า นับว่าดีที่สุดแล้ว
ISO 20,000 กับไฟล์ RAW (CR2) เปิดกับโปรแกรม Digital Photo Professional จากแคนนอน และพรีวิวดู Noise ผ่านค่า Default ที่โปรแกรมตั้งให้ พบว่า Noise น้อยมากจนสามารถนำไปใช้งานได้จริงอย่างไม่มีปัญหาใดๆ
ภาพสุดท้ายกับ ISO 25,600 ไฟล์ JPEG ดิบๆ ไม่ผ่านการตกแต่งใดๆ พบว่า Noise ที่ออกมารบกวนน้อยอย่างน่าทึ่ง
ในส่วนการถ่ายวิดีโอ ทางแคนนอนจัด EOS Movie มาให้แบบเต็มออปชันเหมือนเดิม โดยสามารถถ่ายวิดีโอที่ความละเอียดสูงสุด 1080p ที่ความเร็ว 30 เฟรมต่อวินาที ส่วน 720p สามารถถ่ายวิดีโอที่ความเร็ว 60/50 เฟรมต่อวินาที
ด้านคุณภาพวิดีโอสามารถเลือกได้ 2 รูปแบบได้แก่ IPB ขนาดไฟล์จะอยู่ที่ 235MB ต่อนาที ส่วน ALL-I ให้คุณภาพดีกว่าแต่ขนาดไฟล์ต่อนาทีใหญ่ถึง 685MB
สำหรับค่าความไวแสงในโหมดวิดีโอจะเลือกใช้ได้ตั้งแต่ 100-12,800 และสามารถตั้งโหมดถ่ายวิดีโอแบบแมนวลปรับค่าเองได้ทั้งหมด และรองรับ Time Code ด้วย
สำหรับตารางสเปก Canon EOS 6D เพิ่มเติม กรุณา>คลิกที่นี่<
ฟีเจอร์
DSLR ฟูลเฟรมตัวแรกที่ Built-in WiFi และ GPS มาในตัว
ถือเป็นฤกษ์งามยามดีและหลายคนคงเฝ้ารอการมาของ WiFi และ GPS ในกล้อง DSLR ฟูลเฟรม แคนนอนจึงจัดให้แบบไม่ต้องไปหาซื้อมาติดตั้งเพิ่มเติม เพราะใน EOS 6D มีการบรรจุวงจร WiFi และ GPS มาให้ในตัว ทำให้กล้องมีความสามารถพิเศษในการแชร์รูปไปยังสมาร์ทโฟนผ่าน WiFi ได้ทันที รวมถึงติดตามการเดินทางถ่ายรูปของเราได้จากซอฟต์แวร์ที่แถมมาให้
แต่ก่อนใช้งานผู้ใช้ต้องดาวน์โหลดแอปฯ EOS Remote จาก AppSotre หรือ Google Play เสียก่อน
สำหรับการเชื่อมต่อ WiFi ระหว่าง EOS 6D กับสมาร์ทโฟนจะมีความยุ่งยากซับซ้อนในช่วงแรกของการติดตั้งเท่านั้น เพราะผู้ใช้จะต้องตั้งค่า SSID ที่กล้องของตนพร้อมกำหนดรหัสผ่านสำหรับเชื่อมต่อ WiFi เมื่อทุกอย่างเสร็จสิ้น ตัวกล้องจะกระจายสัญญาณ WiFi ออกมา ให้ทำการเชื่อมต่อ WiFi จากสมาร์ทโฟน
เมื่อเชื่อมต่อเสร็จเรียบร้อย เข้าสู่แอปฯ EOS Remote โดยความสามารถของแอปฯ ผู้ใช้จะสามารถเลือกรับชมรูปจากในการ์ดความจำตัวเครื่องได้ทั้งภาพนิ่งและวิดีโอ พร้อมมีรายละเอียดรูปให้รับชม รวมถึงสามารถเซฟรูปไว้ใน Gallery สมาร์ทโฟนได้ด้วย แต่รูปจะถูกรีไซต์เหลือ 1,920x1,280 พิกเซล ขนาดประมาณ 560KB
นอกจากความสามารถในการรับชมรูปภาพจากการ์ดในตัวกล้องได้แล้ว EOS Remote ยังใช้เป็น Camera Remote สำหรับถ่ายภาพได้ด้วย โดยตัวแอปฯ จะดึงภาพจาก Live View มาปรากฏที่หน้าจอสมาร์ทโฟน (แต่จะดีเลย์เล็กน้อย) ซึ่งผู้ใช้สามารถเลือกจุดโฟกัส กดชัตเตอร์ ปรับชดเชยแสง รูรับแสง ความเร็วชัตเตอร์ White Balance หรือ ISO ได้จากหน้าจอสัมผัสของสมาร์ทโฟน รวมถึงความสามารถในการกดชัตเตอร์ค้างไว้เมื่อเรียกใช้งานชัตเตอร์ B จนแถบไม่ต้องพึ่งพารีโมทถ่ายภาพเหมือนสมัยก่อนเลย
มาที่ GPS จะมีความโดดเด่นนอกเหนือจากการเก็บพิกัดของรูปถ่ายแต่ละรูปแล้ว ยังสามารถเก็บ Log ไฟล์สำหรับการเดินทางไปถ่ายรูปของเราได้ตั้งแต่ต้นทางไปยังปลายทางที่เดินทาง คล้ายๆ Tracking Mode ของแอปฯ ออกกำลังกายอย่าง Endomondo แล้วไปเปิดชมจากซอฟต์แวร์ Map Utility ที่แถมมากับกล้อง
ส่วนหลายคนที่กำลังคิดว่า EOS 6D จะมีซอฟต์แวร์รีไซต์-ตกแต่งรูปหลังกล้องมาให้เหมือนรุ่นพี่รุ่นอื่นไหม ตรงนี้ขอตอบว่า "มีแน่นอน ไม่ต้องเป็นห่วง" โดยซอฟต์แวร์หลังกล้องที่ให้มาสามารถตกแต่งภาพไฟล์ RAW ได้ละเอียดระดับหนึ่ง เช่น เพิ่มแสง ปรับ WB ลบ Noise รวมถึงการรีไซต์ภาพ และจับภาพนั้นส่งเข้าสมาร์ทโฟนได้ทันที
เริ่มต้นออกเที่ยวกับการทดสอบประสิทธิภาพ Canon EOS 6D
ทุกครั้งก่อนจะเริ่มต้นการเดินทางทดสอบประสิทธิภาพกล้อง ทีมงานก็ต้องขอชี้แจงเรื่องอุปกรณ์ที่ใช้ในการทดสอบครั้งนี้กันก่อน เริ่มจากเลนส์จะทีมงานเลือกใช้คิทเลนส์ที่มากับกล้อง Canon 24-105 f4L ติดกล้องไปตลอดทริป ส่วนการ์ดความจำที่เลือกใช้คือ Sony UHS-I 8GB ที่มีอัตราการรับส่งข้อมูลอยู่ที่ 40MB/s และสุดท้ายไฟล์ที่บันทึกจะเน้นไปที่ RAW ใหญ่สุด (ขนาดอยู่ที่ 29-30MB) และโปรเซสผ่าน DPP ของแคนนอนแบบไม่ผ่านการตกแต่งสีใดๆ เพิ่มเติม
จากชลบุรีสู่เชียงใหม่
หลังจากได้รับกล้อง Canon EOS 6D มาด้วยความตื่นเต้น เพราะนี่คือครั้งแรกของผม @Dorapenguin กับการทดสอบกล้องฟูลเฟรม ถึงแม้จะรู้ในใจว่าเจ้า EOS 6D มันคือกล้องเล็กในตระกูลใหญ่ก็เถอะ แต่จากการได้ยินชื่อเสียงจากรีวิวของสื่อต่างประเทศในเรื่อง Noise ที่ต่ำมากจนมีแซวกันในวงการว่า "แคนนอนลืมใส่ Noise มา" ในค่าความไวแสงสูง ก็ยิ่งอดใจจะทดสอบลองของไม่ได้
ทริปนี้จึงเกิดขึ้นกับระยะทางที่ไกลพอสมควร (ชลบุรี-เชียงใหม่ ประมาณ 855 กิโลเมตร) แบบไม่นั่งเครื่องบินไป แต่ขอขับรถคันโปรด Ford Fiesta 1.6 ไปแทนด้วยความอยากลองทดสอบประสิทธิภาพทั้งกล้องและรถยนต์พร้อมๆ กัน ทริปนี้จึงเริ่มต้นขึ้น
ก็แค่ความอยากลองทั้งรถทั้งกล้องกับระยะทางแค่ 855 กิโลเมตร จะเป็นอย่างไรต้องติดตาม
สตาร์ทรถออกเดินทางไปเรื่อยๆ ผ่านกรุงเทพมหานครวิ่งลัดเลาะไปจนหลงไปออกสายเก่า ผ่านลพบุรี สระบุรีแบบไม่รู้ตัว ทำให้การเดินทางขาไปช้ากว่าเดิมเข้าไปอีก แต่สุดท้ายก็ถึงเชียงใหม่
เชียงใหม่ยังเหมือนเดิม ในเมืองคือพัทยาดีๆ นี่เอง อีกทั้งทริปนี้ผมมีเวลาไม่มากนักเพราะมีภารกิจที่บ้านหลากหลายอย่างต้องกลับไปทำให้เสร็จ จึงมีเวลาเที่ยวชิวๆ ไม่มากนัก
มาถึงวันแรกในใจไม่คิดสิ่งใดนอกจากอยากทดสอบถ่ายภาพกลางคืนกับ EOS 6D จังอยากรู้ว่ามันจะเทพอย่างที่เขาว่าไหม เลยจัดเตรียมจองหาร้านขันโตกช่วงกลางคืนที่มีการแสดงไว้เพื่อขอทดสอบความเทพของกล้องสักหน่อย
สุดท้ายเมื่อถึงเวลาด้วยความหิวจัดและที่นั่งไม่อำนวย ผมถ่ายมาได้รูปเดียวเท่านั้น!! แต่ถึงอย่างไรภาพด้านบนนี้ก็น่าจะบอกความเทพของการขจัด Noise ใน EOS 6D ได้ เพราะนี่คือภาพที่ถ่ายด้วยค่าความไวแสง ISO 20,000 โหมด Av ที่ค่า f/4.0 ชัตเตอร์ 1/640 วินาที ที่ระยะเลนส์ 105 มิลลิเมตร
ก่อนกลับ ผมยังรู้สึกไม่พอใจกับการทดสอบ Noise ที่ค่าความไวแสงสูงเพราะถ่ายมาได้น้อย พอดีระหว่างยืนรอแฟนผม ผมเห็นสระน้ำนี้สวยดี จึงยกกล้องขึ้นมาถ่ายทดสอบ Noise กันอีกครั้ง โดยในครั้งนี้ผมลด ISO ลงเหลือ 6,400 และดันรูรับแสงไปที่ f/10 ชัตเตอร์ที่ได้เหลือ 1/5 วินาที พร้อมเปิดกันสั่นที่เลนส์ ผลที่ได้ออกมา Noise น้อยมากและใช้งานจริงได้ที่ขนาดไฟล์ใหญ่ๆ เลย
จบวันแรกกับสองภาพที่ผมรู้สึกว่าสมคำคุยจากสื่อต่างประเทสในเรื่อง Noise ที่น้อยเสียจริง แต่ก็ใช่ว่าผมจะชมทั้งหมดนะครับ เพราะระหว่างถ่ายภาพนางรำด้านบน ผมยังรู้สึกไม่ค่อยถูกใจกับเรื่องระบบออโต้โฟกัสในที่มืดเท่าใด แน่นอนว่าถ้าโฟกัสจาก Viewfinder ซึ่งกล้องจะใช้โหมด Quick Foucs ให้ มันเร็วจริง แต่ไม่รู้เพราะจุดโฟกัสน้อยหรืออย่างไร เวลาแบบเคลื่อนที่ทีไร โฟกัสหลุดและหวืดวาดพอสมควร ส่วนจะเปิดจอ Live View โฟกัสแบบ Live View ตรงๆ จากจอก็ทำงานช้าเกินรับไหว
เริ่มต้นวันที่สองกับการเดินทางไปโป่งแยง แถวๆ สะเมิง เพื่อขับรถขึ้น "ม่อนแจ่ม" ยอมรับว่าอากาศดีมาก อุณหภูมิวันที่ผมไปลดต่ำเพียง 18 องศาเซลเซียสเท่านั้น ขึ้นไปถึงจัดแจงจอดรถและเดินต่อขึ้นไปถึงม่อนแจ่ม ที่นี่มีร้านอาหารนั่งชิวรับบรรยากาศของภูเขาที่มีหมอกปกคลุมบางตา และผมก็เจอเด็กน้อยกลุ่มหนึ่ง
ไม่รอช้าที่ผมจะรีบหยิบกล้องมาเก็บความน่ารักสดใสของเด็กๆ เหล่านี้ โดยผมจัดแจงปรับกล้องเข้าสู่โหมดออโต้ทันที และแค่เพียงผมยกกล้องบรรดาเด็กน้อยก็ตั้งท่าถ่ายอย่างน่ารัก น่าเอ็นดู แต่ดูเหมือนน้องเล็กของกลุ่มจะไม่ยอมมองกล้องทำให้บรรดาพี่ๆ ต้องหลอกล่อหลากหลายวิธี แน่นอนครับว่าผมไม่ได้ซีเรียสอะไร ผมเลยเปลี่ยนโหมดไปใช้ถ่ายภาพต่อเนื่อง ในหัวคิดว่าต้องแคนดิตแล้วถึงจะเวริค ผมบรรจงกดชัตเตอร์ลงไปอย่างไม่ยั้ง แต่ก็เหมือน 6D จะทำงานช้ากว่าพวกกล้องโปรเล็กน้อย (ยิงได้ต่อเนื่องประมาณ 3.8-4.5 เฟรมต่อวินาที) แต่สำหรับผมมันก็เพียงพอต่อการใช้ในสภานการณ์แบบนี้ และทำให้ผมได้รูปน่ารักๆ แบบลงจังหวะเป๊ะๆ รูปนี้มา
ISO 500 F/4 ชัตเตอร์ 1/1,600 วินาที ระยะเลนส์ 40 มิลลิเมตร
ก่อนจะเดินแยกจากเด็กๆ ผมและแฟนให้เงินเด็กๆ ไปหลายร้อยบาท เพราะอยากให้เขาไปซื้อขนมทานกัน แต่ก็ไม่วายขอเก็บภาพเด็กๆ อีกครั้งก่อนเดินจากไป
ภาพนี้ยิ่งรัวๆ ออโต้ แบบ JPEG จนกล้องทำงานไม่ทัน (ขึ้น BUSY) แต่ก็ได้ภาพที่น่ารัก น่าเอ็นดูเหมือนเดิม ซึ่งสิ่งที่ผมสัมผัสได้จากการถ่ายภาพในช่วงเช้าแสงมาก ก็คือกล้องจับโฟกัสได้แม่นและเร็วกว่าถ่ายช่วงกลางคืน เพราะผมสังเกตดูหลายภาพที่สแนปมา โฟกัสเข้าแบบทุกภาพแบบไม่ต้องเล็งวิวไฟน์เดอร์เลย
ระหว่างทางกลับลงมาผมแวะทานข้าวกลางวันแถวแม่ริม หันหัวขึ้นฟ้ากะจะดูว่าฝนตกหรือไม่ ก็เหลือบไปเห็นฝูงนกฝูงใหญ่บินเต็มท้องฟ้าวนไปวนมา ก็เลยได้เวลาหยิบกล้องขึ้นมาถ่ายภาพอีกครั้ง แต่คราวนี้ขอปรับเป็น Manual Mode โหมดบ้าง แต่ด้วยการที่แคนนอนลดปุ่มคำสั่งบางคำสั่งอย่าง White Balance ลงไป ทำให้การปรับค่าบางค่าต้องทำผ่าน Quick Menu ซึ่งถือว่ายุ่งยากสำหรับผม นกบินวนไปมาหลายรอบแล้วผมยังยิงภาพไม่ได้ดังใจต้องการเลย
สุดท้ายกว่าจะปรับได้ก็เกือบพลาดภาพช่วงเวลาสำคัญๆ แบบนี้ไปแล้ว แถมการพรีวิวภาพแบบซูม 100% เพื่อเช็คความคมชัดก็ดูงงๆ คือผมต้องกดปุ่มแว่นขยายเข้าไปก่อนจากนั้นค่อยใช้ปุ่มคำสั่งแบบหมุนตรงชัตเตอร์ซูมเข้าออก งงๆ ดี
ISO 400 F/5.6 ชัตเตอร์ 1/4,000 วินาที ระยะเลนส์ 105 มิลลิเมตร
ทานข้าวเสร็จลองถ่ายทดสอบความคมชัดแบบเปิด f/11 ระยะเลนส์ 28 มิลลิเมตร ISO 100 และความเร็วชัตเตอร์ 1/100 วินาที ภาพวิวที่ได้คมชัดใช้ได้เลยทีเดียว
ออกรถจากที่ทานข้าวมุ่งหน้าสู่ "พิพิธภัณฑ์แมลง สวนสัตว์แมลงสยาม" และผมก็ได้ภาพผีเสื้อหนึ่งตัวที่ถ่ายจากระยะไกลแต่ผมใช้วิธีครอปภาพโดย Photoshop ซึ่งด้วยขนาดไฟล์ 20 ล้านพิกเซล ครอปออกมาเกือบ 100% ก็ยังให้ภาพคมชัดอยู่
ISO 100 F/4.5 ชัตเตอร์ 1/4,000 วินาที ระยะเลนส์ 105 มิลลิเมตร
ลองถ่ายภาพระยะใกล้อีกครั้งตั้งถ่ายโหมด Av ISO 250 F/4.5 ชัตเตอร์ 1/100 วินาที ระยะเลนส์ 105 มิลลิเมตร
ส่วนภาพนี้ไม่แน่ใจว่าเป็นแมลงใบไม้หรือเปล่า เพราะตัวเขากลมกลืนกับต้นไม้มาก ตอนที่พี่วิทยากรจับมาให้ชมยังตกใจอยู่เลยไม่คิดว่ามันจะมีชีวิต
จบจากการชมผีเสื้อและแมลงตีรถเข้าเมืองไป ม.เชียงใหม่กันบ้างครับ ที่นี่บรรยากาศดีมากแถมมีเขื่อนเก็บน้ำอยู่ด้านในด้วย เดินไปเดินมาก็พบมุมที่น่าสนใจหนึ่งมุม เลยคิดจะลองยิงภาพ HDR จากกล้องดูผลที่ได้คือ
รูปนี้เป็น JPEG File ยิงออโต้ 3 ภาพแล้วกล้องจัดการโปรเซสให้เอง แต่กว่าจะโปนเซสเสร็จต้องใช้เวลาสักพัก โดยที่หลังกล้องจะขึ้น BUSY ถ่ายภาพอะไรระหว่างรอไม่ได้เลย
เพราะฉะนั้นคิดจะใช้โหมด HDR ใน 6D ต้องอย่าใช้ตอนช่วงต้องยิงภาพสำคัญๆ นะครับ
นั่งรับลมชมวิวสักพัก ก็ได้เวลากลับมาที่ที่พักแถวๆ แม่ริมอีกครั้ง ระหว่างรอเช็คอินโรงแรมผมหันไปเห็นสุนัขตัวหนึ่ง (ทราบทีหลังว่าชื่อ เจ้ย) เขาทำหน้าสงสัยมากว่าผมกำลังยืนทำอะไร ผมเลยหยิบ 6D ออกจากกระเป๋าแล้วเล็งไปที่เขา และแล้วความฮาก็เกิดขึ้น เมื่อเขายิ่งทำหน้างงๆ เอียงหน้าซ้าย-ขวา สงสัยมากว่าผมทำอะไรอยู่ ผมหัวเราะและยกกล้องขึ้นพร้อมยิงภาพ โดยโหมดที่ผมใช้ก็ปรับไปที่ Scene Mode - ภาพบุคคล
ผมว่าผมชอบอารมณ์ภาพนี้นะ ไม่รู้มีใครมองแบบผมไหมว่า น้องหมาเขาหน้าฉงนดี ISO 100 F/4 ชัตเตอร์ 1/200 วินาที ระยะเลนส์ 105 มิลลิเมตร
เข้าที่พัก นั่งๆนอนๆ อยู่เป็นชั่วโมง ฟ้าก็มืดลง เลยได้เวลาหยิบกล้องเดินเที่ยวโรงแรมหวังว่าจะทดสอบภาพกลางคืนอีกสัก 1 ภาพ เดินไปหาไปก็ได้เป็นภาพนี้กับระยะเลนส์ 24 มิลลิเมตรแท้ๆ ไม่ต้องคูณพร้อม ISO 12,800 มือถือกล้องถ่าย แน่นอนว่าที่ค่าไวแสงมากขนาดนี้ ผมคงหาไม่ได้กับกล้อง APS-C ทั่วไป
ISO 12,800 F/4 ชัตเตอร์ 1/25 วินาที ระยะเลนส์ 24 มิลลิเมตร
กลับเข้าห้องพัก กำลังจะนอน ผมเห็นสตรอเบอรี่ที่ซื้อจากแถวสะเมิงวางอยู่ กับไฟห้องแสงสีส้มฉาบผลสตรอเบอรี่เหล่านั้นจนเป็นสีแดงสด ก็เลยคิดว่ากล้องจะรับเม็ดสีเหล่านั้นได้มากน้อยเพียงใดถ้าใช้ ISO สูงๆ ผมเลยดัน ISO ไป 5,000 ได้ความเร็วชัตเตอร์มาถึง 1/320 วินาที f/5 ระยะเลนส์ 105 มิลลิเมตร
ผลที่ได้นับว่ายอดเยี่ยมถูกใจผมมาก เพราะรูปนี้ได้สีสันที่สดตามความคิดผมโดยที่ผมไม่ต้องแต่งภาพใดๆ เลย
เข้านอนและหลับอย่างมีความสุข เช้าวันต่อมาได้เวลาเดินทางกลับบ้าน ผมเก็บของ เช็คเอาท์โรงแรมและออกรถ ระหว่างขับรถผ่านลำปางแหวกม่านหมอกสีเทา จู่ๆ แสงอาทิตย์ก็ปรากฏ ฉายแสงสีท้องทั่วท้องฟ้า เป็นภาพที่สวยงามมาก ผมเลยตีไฟซ้าย จอดรถเข้าข้างทาง แต่ด้วยถนนเส้นนั้นรถวิ่งกันเร็วมาก ผมจึงต้องยืนถ่ายภาพแบบเอาตัวติดกับรถครึ่งหนึ่ง อยู่ในรถครึ่งหนึ่ง เลยได้มุมภาพที่ไม่ค่อยประทับใจเท่าไร
ในส่วนการปรับกล้องสำหรับรูปนี้ ผมขอระบายสักหน่อยครับ เนื่องจากรู้สึกหงุดหงิดกับการตัดปุ่ม White Balance ออกจาก EOS 6D ดีมาก เพราะผมต้องกดเข้า Quick Menu ไปเพื่อปรับค่าซึ่งเสียเวลามากมาย
Landscape Scene Mode ISO 100 F/6.3 ชัตเตอร์ 1/250 วินาที ระยะเลนส์ 105 มิลลิเมตร ปรับ White Balance เป็น Shade
จบการถ่านภาพนี้ผมขับรถยาวถึงกรุงเทพมหานครผ่านทางตาก นครสวรรค์ ถนนสายเอเซีย มาพักที่กรุงเทพฯ หนึ่งคืนก่อนรุ่งเช้าจะขับต่อไปชลบุรี เพื่อเก็บภาพ Landscape บริเวณอ่างเก็บน้ำบางพระอีกสัก 2-3 รูป
ISO 100 F/16 ชัตเตอร์ 1/2,000 วินาที ระยะเลนส์ 105 มิลลิเมตร
ISO 100 F/8 ชัตเตอร์ 1/160 วินาที ระยะเลนส์ 105 มิลลิเมตร
ISO 100 F/10 ชัตเตอร์ 1/500 วินาที ระยะเลนส์ 105 มิลลิเมตร
รูปด้านบนทั้งหมดจะเน้นถ่ายแบบแนว Landscape เปิด f แคบๆ ดูความคมของภาพ ซึ่งก็นับว่า EOS 6D ให้ผลทดสอบที่ดี แต่สำหรับ 24-105 L คิทเลนส์ที่แถมมากับ EOS 6D ส่วนนี้นับว่าให้คุณภาพเลนส์ที่ดี แต่ที่ระยะ 24-50 มิลลิเมตรอาจให้ขอบภาพไม่คมนัก
สุดท้ายเรื่อง WiFi ที่ให้มาก็อย่างว่าแหละครับ ผมเคยลองระบบนี้กับกล้องหลายรุ่นตั้งแต่ Samsung WB150F Sony NEX-6 และ EOS 6D ตัวนี้นับว่าการเชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟนใช้วิธีการคล้ายกันหมดและอาจไม่รวดเร็วใช้งานได้คล่องนัก เพราะกว่าจะเชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟนได้ เล่นเอาคนที่มารอรูปรอจนเหนื่อยครับ แต่ก็ดีกว่าไม่มีว่าไหมครับ...
สำหรับคนที่ต้องการรับชมรูปจาก EOS 6D ทั้งหมด >คลิกที่นี่<
ตอบจุขาย/ฟันธง! ความคุ้มค่ากับเม็ดเงินที่เสียไป?
สำหรับกล้อง Canon EOS 6D ถือเป็นกล้องที่อยู่คั่นกลางระหว่าง 5D Mark III กับ 7D จับกลุ่มผู้ใช้ระดับกลางลงไปถึงระดับต้นที่มีทุนทรัพย์พอประมาณและอยากเล่นกล้องฟูลเฟรม 6D คือคำตอบที่ชัดเจนมาก โดยเฉพาะคนที่กำลังมองหา DSLR น้ำหนักไม่มาก อยากติดตัวไปเที่ยว ถ่ายได้ทุกสภาพแสง
แต่สำหรับบรรดาตากล้องมือโปรฯ ทั้งหลาย Canon EOS 6D อาจเป็นเพียงกล้องฟูลเฟรมขนาดเล็กที่ยังมีฟีเจอร์ในตัวไม่เพียงพอจะใช้งานเป็นกล้องหลัก เพราะอย่างที่ผมบ่นๆ ตลอดทริปทดสอบด้านบน จะเห็นว่าแคนนอนตัดปุ่มคำสั่งสำคัญออกไปมาก และให้ผู้ใช้ไปเรียกใช้งานจาก Q-Menu แทน ซึ่งนับว่าไม่สะดวกเสียเลย รวมถึงจุดโฟกัสก็ให้มาน้อย ถ่ายสแนปต่อเนื่องก็ไม่เร็ว แต่ถ้าต้องการใช้งานเป็นกล้องสอง ส่วนนี้ 6D ทำได้ดีครับ เลือกซื้อได้เลยอย่างไม่ต้องลังเล
แต่ในทางกลับกันเรื่องของคุณภาพภาพที่ได้ กลับตรงข้ามกับการออกแบบ เพราะเหมือนแคนนอนจะจัดการกับ DIGIC 5+ รวมถึงเซนเซอร์รับภาพมาได้อย่างยอดเยี่ยมมากที่สุด Noise น้อยแม้จะดัน ISO เป็นหมื่นๆ แถมในกล้องมาพร้อม WiFi และ GPS ในตัวด้วย
ในส่วนราคา Canon EOS 6D บอดี้อย่างเดียวอยู่ที่ 69,900 บาท ส่วนชุดมาพร้อมคิทเลนส์ EF 24-105mm f/4L IS USM อยู่ที่ 103,900 บาท และมีรหัสให้สังเกตเล็กน้อยเพื่อใช้ตรวจดูว่ารุ่นใดมี WiFi+GPS หรือไม่มี โดยถ้าด้านใต้เครื่องพิมพ์ชื่อรุ่นว่า EOS 6D(WG) หมายความว่ากล้องรุ่นนั้นมี WiFi และ GPS ส่วนถ้าเป็น (N) แสดงว่าไม่มีออปชันดังกล่าว