งานสัมมนาหัวข้อ “ จีนยุคใหม่กับช่องทางโอกาสใหม่ ของไทย เจาะลึกแผนพัฒนาเศรษฐกิจแห่งชาติ 5 ปี ฉบับที่ 15" ณ สถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์ (Panyapiwat Institute of Management: PIM) โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์เชิงลึกถึงตรรกะในการพัฒนาและสาระสำคัญของการพัฒนาประเทศตามแบบฉบับจีน ตลอดจนส่งเสริมการเชื่อมโยงยุทธศาสตร์การพัฒนาระหว่างไทยและจีนอย่างลึกซึ้ง และขยายขอบเขตความร่วมมือเชิงปฏิบัติระหว่างทั้งสองประเทศในยุคสมัยใหม่
รศ.ดร.สมภพ มานะรังสรรค์ อธิการบดีสถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์ ได้กล่าวเปิดงาน โดยชี้ให้เห็น ว่า การพัฒนาประเทศตามแบบฉบับจีนได้มอบแนวทางอ้างอิงใหม่ให้กับกลุ่มประเทศ กำลังพัฒนา และการพัฒนาอย่างรวดเร็วของจีนจะนำมาซึ่งโอกาสที่จับต้องได้สำหรับสังคมไทย ท่านเน้นย้ำว่า กุญแจสำคัญที่ทำให้มิตรภาพไทย-จีนยั่งยืนและแน่นแฟ้น คือการสืบทอดบุคลากรที่มี “จิตวิญญาณแห่งมิตรภาพไทย-จีน” อย่างต่อเนื่องในทุกรุ่น
ฯพณฯ จาง เจี้ยนเว่ย เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำประเทศไทย เน้นย้ำว่า ปี พ.ศ. 2568 เป็นปีสิ้นสุดแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 14 ของจีน โดยจีนได้ก้าวขึ้นเป็นประเทศผู้ผลิตรายใหญ่ที่สุดของโลก และเป็นเขตเศรษฐกิจที่ใหญ่เป็นอันดับสอง ในอีกห้าปีข้างหน้า จีนจะยังคงเดินหน้าส่งเสริมการพัฒนาประเทศตามแบบฉบับจีนอย่างต่อเนื่อง และขยายการเปิดประเทศในระดับสูง ซึ่งสอดคล้องอย่างยิ่งกับยุทธศาสตร์การพัฒนาของประเทศไทย ท่านแสดงความพร้อมที่ฝ่ายจีนจะร่วมมือกับฝ่ายไทย เพื่อส่งเสริมการสร้างประชาคมที่มีอนาคตร่วมกันระหว่างจีน-ไทยให้ลึกซึ้งและเป็นรูปธรรมยิ่งขึ้น อันจะนำมาซึ่งการสร้างคุณูปการที่ยิ่งใหญ่ต่อสันติภาพและความเจริญรุ่งเรืองในภูมิภาค
ฯพณฯ ศ.ดร.บวรศักดิ์ อุวรรณโณ รองนายกรัฐมนตรี ด้านกฎหมาย ชี้ให้เห็นว่า การพัฒนาประเทศตามแบบฉบับจีนจะส่งผลกระทบอย่างลึกซึ้งต่อห่วงโซ่อุปทานโลก นวัตกรรมทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และภูมิทัศน์เศรษฐกิจระดับภูมิภาค ซึ่งนำมาซึ่งโอกาสทางประวัติศาสตร์สำหรับประเทศอาเซียน โดยเฉพาะประเทศไทย ท่านเน้นย้ำว่า ความร่วมมือภายใต้ “แถบและเส้นทาง” จะยกระดับระบบโลจิสติกส์ในภูมิภาคอย่างต่อเนื่อง และการเติบโตของเศรษฐกิจดิจิทัลของจีนจะผลักดันความร่วมมือด้านมาตรฐานข้อมูลและความมั่นคงทางไซเบอร์ในภูมิภาคให้ก้าวไปสู่ระดับที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้น
ดร.นลินี ทวีสิน อดีตผู้แทนการค้าไทย ได้แบ่งปันผลการสำรวจจากการเยือนประเทศจีนเมื่อเร็ว ๆ นี้ ซึ่งครอบคลุมด้านปัญญาประดิษฐ์ รถยนต์ไร้คนขับ การฟื้นฟูชนบท และอาชีวศึกษา ท่านชี้ให้เห็นว่า การพัฒนาประเทศตามแบบฉบับจีนให้ความสำคัญกับการยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนเป็นพื้นฐาน และมีลักษณะเด่นที่ชัดเจนด้านเทคโนโลยีล้ำสมัยและการพัฒนาที่ยั่งยืน ซึ่งสอดคล้องอย่างยิ่งกับยุทธศาสตร์ “ประเทศไทย 4.0”
ดร. ไพจิตร วิริยะธนานสาร อดีตอัครราชทูต (ฝ่ายการพาณิชย์) ประจำกรุงปักกิ่ง แสดงความคิดเห็นว่า จีนมีความโดดเด่นในหลายด้าน เช่น เศรษฐกิจสีเขียว การจัดการสิ่งแวดล้อม และประสิทธิภาพในการบริหารงาน จนกลายเป็นผู้นำในหลายอุตสาหกรรมใหม่ระดับโลก ท่านเห็นว่า ประสบการณ์ด้านธรรมาภิบาลของจีนมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการนำมาเป็นแบบอย่างสำหรับประเทศไทย
ในช่วงการเสวนาโต๊ะกลม ตัวแทนจากสื่อ ภาคธุรกิจ และผู้นำชุมชนชาวจีนได้ร่วมอภิปรายในหัวข้อ “หนทางแห่งความร่วมมือ” โดย โฆษกพรรคโอกาสใหม่ นายอรรทิตย์ฌาณ คูหาเรืองรอง ได้แบ่งปันสิ่งที่ได้พบเห็นในประเทศจีนจากมุมมองสื่อ นายหวง เหว่ยเหว่ย รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส เครือเจริญโภคภัณฑ์ เน้นย้ำถึงวิสัยทัศน์ระดับโลกขององค์กรไทยในการก้าวออกไปสู่ต่างประเทศ,
มร.หลี่ เจียฉุน ประธานหอการค้าผู้ประกอบการรุ่นใหม่ไทย ชี้ให้เห็นว่าธุรกิจไทย-จีน “มีความเกื้อกูลกันมากกว่าการแข่งขัน” และดร.ชัย ธนิชานันท์ นายกกิตติมศักดิ์ถาร สมาคมนักธุรกิจปักกิ่ง ประเทศไทย เน้นถึงความสำคัญของบุคลากรที่เชี่ยวชาญทั้งวัฒนธรรมไทยและจีน
นอกจากนี้ยังมีผู้แทนที่เข้าร่วมงานยังประกอบด้วย นายพรวิทย์ พัชรินทร์ตนะกุล รองอธิการบดีอาวุโส สถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์, นายสุพจน์ วชิรจิรากร รองอธิการบดี ส่วนบัญชี และการเงิน บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) และรองอธิการบดีฝ่ายการเงิน สถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์, รศ.ดร.สมโรจน์ โกมลวานิช รองอธิการบดีฝ่ายวิชาการและวิจัย สถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์, คุณแซนดี้ หม่า ประธานกิตติมศักดิ์ Siam Think Tank , ดร. หลี่ หมินซิน ผู้ช่วยอธิการบดีฝ่ายการศึกษา และพัฒนาบัณฑิตศึกษาจีน และประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ Siam Think Tank, และ ดร. โจว ตี้กง ที่ปรึกษาวิทยาลัยนานาชาติไทย-จีน และนักวิจัยอาวุโส สถาบันสยาม-ไชน่า
โดยผู้เข้าร่วมประชุมทุกฝ่ายเห็นตรงกันว่า การพัฒนาประเทศตามแบบฉบับจีนยังคงปลดปล่อยพลังขับเคลื่อนการพัฒนาใหม่ ๆ อย่างต่อเนื่อง ซึ่งสอดคล้องกับทิศทางยุทธศาสตร์ของไทยในการเร่งยกระดับอุตสาหกรรมและการเปลี่ยนผ่านทางเศรษฐกิจ ในอนาคต ทั้งสองประเทศจะกระชับความร่วมมือในสาขาสำคัญต่าง ๆ เช่น อุตสาหกรรมดิจิทัล พลังงานสีเขียว การผลิตขั้นสูง การพัฒนาบุคลากร และการเชื่อมโยงระหว่างภูมิภาค
อย่างไรก็ตามการสัมมนานี้ได้วางรากฐานทางความคิดที่มั่นคงและสร้างฉันทามติทางสังคมสำหรับการกระชับความร่วมมือระหว่างไทย-จีน นับเป็นผลงานที่สำคัญและเป็นรูปธรรมในการส่งเสริมการสร้างประชาคมที่มีอนาคตร่วมกันระหว่างทั้งสองประเทศ


