ปี 2568 เป็นปีแห่งความท้าทายทั้งนโยบายภาษีของสหรัฐอเมริกา ความผันผวนของราคาน้ำมันในตลาดโลก และเศรษฐกิจที่ชะลอตัว ปตท.พิสูจน์ให้เห็นถึงความแข็งแกร่งและวิสัยทัศน์ที่นำพาองค์กรก้าวผ่านความผันผวนไปได้อย่างยอดเยี่ยม
สร้างมูลค่าใหม่ด้วยกลยุทธ์ 'Asset Monetization'
ดร.คงกระพัน อินทรแจ้ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ตลอดหนึ่งปีที่ผ่านมา ปตท.มุ่งสร้าง Synergy โดยใช้สินทรัพย์และเงินทุนให้เกิดประโยชน์สูงสุด (Asset & Capital Optimization) ผ่านการดำเนินกลยุทธ์ Asset Monetization (A1) เพื่อบริหารสินทรัพย์ในกลุ่มให้เกิดประโยชน์สูงสุด และเป็นหนึ่งในความสำเร็จทางการเงินที่โดดเด่น
ตั้งแต่การปรับโครงสร้างเพื่อปลดล็อกมูลค่าสินทรัพย์ในกลุ่ม (Asset Monetization) โดย บริษัท พีทีที แทงค์ เทอร์มินัล จำกัด (PTT Tank) เป็น Infrastructure Flagship เพื่อปรับโครงสร้างธุรกิจโครงสร้างพื้นฐานของกลุ่ม การปลดล็อกศักยภาพ PTT Tank จัดตั้งบริษัทย่อยใหม่ที่ตนเองถือหุ้นร้อยละ 100 เพื่อเข้าทำธุรกรรมซื้อและให้เช่า/บริการกลับ ท่าเทียบเรือ ถังเก็บผลิตภัณฑ์ และทรัพย์สินที่เกี่ยวข้องจาก บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) (GC)
ขณะเดียวกัน จะมีการร่วมจัดตั้งบริษัทร่วมใหม่ซึ่งจะถือหุ้นโดย บริษัทย่อยใหม่ของ PTT Tank และ บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) (TOP) ในสัดส่วนร้อยละ 49.0 และ 51.0 ตามลำดับ เพื่อดำเนินการเช่าระยะยาวจาก TOP เป็นเวลา 21 ปี และ TOP จะเช่าช่วงทรัพย์สินกลับเพื่อใช้ในการดำเนินงาน
นอกจากนี้ PTT Tank ยังมีแผนเข้าซื้อหุ้นสามัญของบริษัท ไทยแท้งค์เทอร์มินัล จำกัด จาก GC ในสัดส่วนประมาณร้อยละ 35.43 เพื่อดูแลธุรกิจ บริการรับ จัดเก็บ และขนถ่ายสินค้าเหลว
กลยุทธ์ Asset Monetization ดังกล่าว จะสร้างประโยชน์ในหลายส่วน ทั้งการสร้าง Synergy การเกิดโมเดลธุรกิจใหม่ คือ Energy Infrastructure ของกลุ่ม ปตท. และเสริมสภาพคล่องทางการเงินของ TOP และ GC แข็งแกร่งขึ้น ด้วยมูลค่าโครงการรวมกว่า 47,000 ล้านบาท ซึ่งทั้งสองบริษัทจะได้รับกระแสเงินสดส่วนเพิ่ม รวมถึงมีผลการดำเนินงานที่ดีขึ้นจาก Synergy & Efficiency
ขยายอาณาจักรธุรกิจอนาคต ปลดล็อกศักยภาพ Life Science สู่ระดับโลก
ปตท.ไม่เพียงแต่เสริมความแข็งแกร่งในธุรกิจหลัก แต่ยังเดินหน้าปลดล็อกศักยภาพของธุรกิจใหม่ โดยเฉพาะ Life Science จากการปรับโครงสร้างการลงทุนของ บริษัท อินโนบิก (เอเซีย) จำกัด (อินโนบิก) ซึ่ง ปตท. ถือหุ้น 100% ด้วยแผนการลดสัดส่วนการลงทุนใน Lotus Pharmaceutical Company Limited (Lotus) ซึ่งเป็นบริษัทวิจัยและพัฒนายาของไต้หวัน พร้อมกับเดินหน้ารุกตลาดผลิตภัณฑ์ยาเฉพาะทางในสหรัฐฯ ผ่านการเข้าซื้อหุ้นใน Alvogen US ด้วยมูลค่าประมาณ 658 ล้านเหรียญสหรัฐ นับเป็นก้าวสำคัญที่ทำให้ ปตท. เข้าสู่แพลตฟอร์มยาครบวงจร อีกทั้งเป็นการยกระดับและผลักดัน Lotus ก้าวขึ้นสู่การเป็นหนึ่งใน 20 บริษัทยาเฉพาะทางชั้นนำของโลก โดยคาดว่ารายได้และ EBITDA รวมจะเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าหลังการทำธุรกรรมสำเร็จ ตามกลยุทธ์ของ ปตท.ในการขยายการลงทุนในธุรกิจ Life Science ได้ด้วยตนเอง (Self - Funding)
สร้างความเชื่อมั่นด้วยฐานะการเงินที่แข็งแกร่ง
ปตท.ยังคงสร้างความเชื่อมั่นแก่นักลงทุนและผู้ถือหุ้นด้วยการบริหารการเงินที่เป็นเลิศ มีการจัดการสภาพคล่องส่วนเกินและการจ่ายผลตอบแทนที่เหมาะสมแก่ผู้ลงทุน โดยมีการดำเนินงานที่สำคัญในช่วงปีที่ผ่านมา ได้แก่
1. การซื้อหุ้นคืน (Treasury Stock): ปตท. ซื้อหุ้นคืนครั้งแรก ตั้งแต่วันที่ 24 มีนาคม-23 กันยายน 2568 รวมทั้งสิ้นจำนวน 238,660,400 หุ้น คิดเป็นร้อยละ 0.84 ของหุ้นที่จำหน่ายแล้วทั้งหมด มีมูลค่ารวมทั้งสิ้น 7,548,897,300 บาท การดำเนินการนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อบริหารสภาพคล่องส่วนเกิน สร้างผลตอบแทน และสร้างความเชื่อมั่นต่อนักลงทุนถึงสถานะทางการเงินที่แข็งแกร่ง
นอกจากนี้ยังมีการเปิดขายหุ้นกู้ โดย ปตท.ปิดการขายหุ้นกู้ 2 ชุด มูลค่ารวม 20,000 ล้านบาท ซึ่งได้รับความสนใจจากนักลงทุนเกินกว่าจำนวนที่เสนอขายอย่างเกินคาด สะท้อนถึงความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่มีต่อ ปตท. หุ้นกู้ดังกล่าวประกอบด้วยหุ้นกู้อายุ 7 ปี และหุ้นกู้ Young Saver Bond อายุ 3 ปี ซึ่งเสนอขายให้แก่นักลงทุนรุ่นเริ่มออมเป็นครั้งแรกของประเทศไทยและได้รับความสนใจเกินความคาดหมาย การระดมทุนนี้จะนำไปสนับสนุนการดำเนินธุรกิจที่มุ่งเน้นการสร้างความมั่นคงทางพลังงาน และการเติบโตอย่างยั่งยืน ควบคู่กับการดูแลสังคมและสิ่งแวดล้อมอย่างสมดุล
2. การจ่ายเงินปันผลที่เหมาะสม: ปตท. ยังคงตอบสนองความต้องการของนักลงทุนด้วยการประกาศจ่ายเงินปันผลอย่างเหมาะสมที่สอดคล้องกับสภาวะตลาดทุนและการจัดสรรเงินสด Free Cash Flow ระยะยาว
จากผลประกอบการปี 2567 ปตท.จ่ายเงินปันผลในอัตรา 2.10 บาทต่อหุ้น คิดเป็นอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลร้อยละ 6.6 ขณะที่ปี 2568 คณะกรรมการ ปตท. มีมติจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลสำหรับผลประกอบการ 6 เดือนแรก ปี 2568 ในอัตรา 0.90 บาทต่อหุ้น คิดเป็นอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลร้อยละ 7.3
การจ่ายเงินปันผลในอัตราที่เหมาะสมเทียบเคียงกับอุตสาหกรรมเดียวกันนี้ เป็นการตอกย้ำถึงความมุ่งมั่นขององค์กรในการสร้างผลตอบแทนสูงสุดแก่ผู้ถือหุ้น และเสริมสร้างความเชื่อมั่นแก่นักลงทุน
ความสำเร็จด้านการบริหารการเงินที่เป็นเลิศของ ปตท.ในปี 2568 เป็นผลลัพธ์จากการปรับ
กลยุทธ์ที่เฉียบขาด และความมุ่งมั่นในการสร้างความมั่นคงทางพลังงานให้กับประเทศ ควบคู่ไปกับการสนับสนุนเศรษฐกิจและสังคม รวมทั้งการลดก๊าซเรือนกระจก การดำเนินงานทั้งหมดนี้เป็นไปตามวิสัยทัศน์ “ปตท.แข็งแรงร่วมกับสังคมไทย และเติบโตในระดับโลกอย่างยั่งยืน” ซึ่งสะท้อนภาพขององค์กรที่ประสบความสำเร็จในการบริหารจัดการท่ามกลางสถานการณ์ผันผวนท้าทายในหลายด้าน


