ผู้จัดการรายวัน 360- ช่วง2 ปีนี้ “เซวา” เซหนัก ยอดขายหายไป 50% เหตุแบรนด์ถูกมองว่าแก่ ดูราคาถูก ไม่น่าใช้ ล่าสุดขอเท 50 ล้านบาท เดินเกมรีแบรนด์ครั้งใหญ่ สลัดภาพแก่ให้หมดไป รีเฟรชใหม่หมดทั้งโลโก้ และดีไซน์ กลับมาโฟกัสเพียง “น้ำตบ เซวา“ ที่เป็นฮีโร่โปรดักส์อีกครั้ง ตั้งเป้าปี 69 ยอดขายกลับมาที่ 600 ล้านบาท พร้อมอัตราการเติบโต 10% ต่อเนื่องทุกปี
นางสาวเบญจกิติ เมฆแสน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ทรัพย์ไพศาล คอสเมท จำกัด ผู้ก่อตั้ง น้ำตบ แบรนด์ เซวา (SEWA) เปิดเผยว่า ตั้งแต่เริ่มแรก เราวางตำแหน่งเซวาให้เป็นแบรนด์พรีเมียมแมส ช่วงปีแรกประสบความสำเร็จมาก มียอดขายกว่า 100 ล้านบาท และยอดขายเติบโตต่อเนื่องทุกปี จนเข้าสู่ช่วงปีที่ 6-7 หรือราว 2 ปีที่ผ่านมา ยอดขายกลับหายไปมากกว่า 50% จากที่ควรจะทำได้ 500-600 ล้านบาท กลับเหลือเพียง 200 ล้านบาท ซึ่งรายได้ก่อนจะตกลงเหลือ 200 ล้านบาทนั้น ทำได้ถึง 500 ล้านบาท ทำให้เรากลับมาหาสาเหตุว่าเกิดจากอะไร
“จนได้คำตอบว่า ภาพลักษณ์แบรนด์ของเซวา ในมุมมองของกลุ่มเป้าหมายหลักอย่าง เจน Y และเจน Z หรือกลุ่มเฟิร์สจ็อปเปอร์ มองเซวาว่า แบรนด์แก่ มีกลิ่นแก่ เป็นแบรนด์ของดาราดูไม่น่าเชื่อถือ ไม่น่าใช้ แบรนด์ดูแมส รวมถึงผลิตภัณฑ์ไม่ตอบโจทย์”
ตลอด 2 ปีที่ยอดขายลดลงมาเหลือเพียง 200 ล้านบาทนั้น นอกจากข้อมูลที่ได้จากผู้บริโภคแล้ว ส่วนสำคัญเป็นเพราะเราคิดผิด ที่หันมาเล่นตลาดแมส ทำราคาถูก ทำให้ภาพลักษณ์แบรนด์เสีย บวกกับเรียนรู้ว่าความงามเดินเร็วเกินกว่าจะยืนอยู่กับที่ได้ ตลาดสกินแคร์แข่งขันสูง เป็นเรดโอเชียน แต่ละแบรนด์มีจุดขาย สู้เก่ง นำเสนอส่วนผสมในผลิตภัณฑ์ที่น่าสนใจ ความต้องการสินค้าเน้นประสิทธิภาพจริง และความเคลื่อนไหวของผู้เล่นรายใหม่ที่นำนวัตกรรม ส่วนผสม เข้ามาสร้างความแตกต่าง ทำให้ผู้บริโภคเองก็มีตัวเลือกมากมาย
นั่นคือเหตุผลที่เราตัดสินใจพาเซวารีแบรนด์ครั้งใหญ่ เพื่อรีเฟรชทั้งภาพลักษณ์และความหมายของแบรนด์ให้สอดคล้องกับยุคสมัยและผู้บริโภคเจเนอเรชันใหม่
สำหรับการรีแบรนด์ครั้งนี้ อยู่ภายใต้แนวคิด "Glow Rebom" รีเฟรชตั้งแต่โลโก้ ดีไซน์ ไปจนถึงประสบการณ์แบรนด์ออนไลน์-ออฟไลน์ สู่ผู้นำ Functional Clean Skincare ที่ฟื้นฟูผิวลึกถึงระดับเซลล์ โดยกลับมาโฟกัส 2 ฮีโร่โปรดักส์ ที่มีการอัปเกรดและปรับสูตรใหม่ คือ 1.Ultimate Recovery Treatment Essence สำหรับผิวแน่นกระชับ 2. Brightening Treatment Essence สำหรับผิวใสฉ่ำน้ำ โดยจุดแข็งของทั้งคู่คือการผสานนวัตกรรม Cellxosome ™ ที่สื่อสารระดับเซลล์ "เสมือน AI อัจฉริยะของผิว" ทั้ง 2 สูตร ผ่านการทดสอบโดยผู้เชี่ยวชาญผิวหนัง เหมาะกับผิวแพ้ง่าย รวมถึงคุณแม่ที่ให้นมบุตร มาพร้อมบรรจุภัณฑ์ใหม่ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ดีไซน์มินิมอล ใช้งานสะดวก และผ่านการทดสอบความคงตัวของน้ำโสมได้นาน สูงสุดถึง 4 ปี
“วันนี้เราจะกลับมาโฟกัสที่ตัวน้ำตบเซวาเป็นหลัก ส่วนตัวอื่นๆ ที่เรามีรวมกว่า 14-15 SKUs ได้หยุดผลิตแล้ว สต็อกเหลือจะขายผ่านช่องทางออนไลน์จนกว่าสินค้าจะหมด มุ่งทำตลาดสร้างภาพลักษณ์ใหม่ให้กับน้ำตบเซวาให้กลับมาแข็งแกร่งอีกครั้ง ผ่านแคมเปญ Sewa Glow Reborn ซึ่งได้เจนเย่-เมธิกา มาเป็นพรีเซนเตอร์ สร้างการรับรู้ให้มากขึ้น ภายใต้งบการตลาดกว่า 50 ล้านบาท เน้นทำยอดขายทางออนไลน์ เป็นหลัก ด้วยรูปแบบ Omni-channel จากโมเดิร์นเทรดถึงอีคอมเมิร์ซ และทำ Affiliate x Creator commerce มากขึ้น มั่นใจว่ากลางปีหน้ายอดขายจะฟื้นคืนกลับมาได้เหมือนเดิม หรือสิ้นปี 2569 ตั้งเป้ายอดขายไว้ที่ 600 ล้านบาท เฉลี่ยเติบโตปีละ 10% ต่อเนื่อง“
นางสาวเบญจกิติ กล่าวต่อว่า ปัจจุบันตนได้ถือหุ้นในบริษัท 100% เป็นเจ้าของแบรนด์เซวาเพียงผู้เดียว จากที่เคยเป็นหุ้นส่วนและทำแบรนด์เซวาร่วมกันกับทาง คุณวุ้นเส้น-วิริฒิพา ภักดีประสงค์ ดารานักแสดงชื่อดัง แต่เมื่อช่วงเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ได้มีการเจรจาตกลงกันด้วยดี โดยทางคุณวุ้นเส้นขอโฟกัสเรื่องครอบครัว ส่วนเราขอทำแบรนด์เซวาต่อ ภายใต้การกลับมารีแบรนด์ครั้งใหญ่นี้ จะเน้นขายเพียงน้ำตบเซวาเท่านั้น และปีหน้าอาจจะเปิดตัวอีก 4 SKUs คือ เซรั่ม และครีม เบื้องต้นวางจำหน่ายในราคา 890 บาท ไปจนถึงสิ้นปีนี้ โดยปีหน้าจะขายในราคาปกติ คือ 1,590 บาท ขนาด 120 ml.
ปีแรกเราลงทุนกว่า 70 ล้านบาท ในการทำตลาดและสร้างแบรนด์เซวา เงินก้อนแรกที่ใส่ไปคือ 5 ล้านบาท จากนั้นก็มีเติมเงินใส่เพิ่มเพื่อทำตลาดตลอดปี ซึ่งปีแรกมียอดขายกว่า 100 ล้านบาท ถือว่าดีไม่ขาดทุนไม่กำไร เป็นแรงผลักดันที่ดีให้เราทำแบรนด์เซวาต่อไป ซึ่งเฉพาะน้ำตบเซวาตัวเดียวทำยอดขายให้บริษัท 300-400 ล้านบาทต่อปี
“การรีแบรนด์ครั้งนี้ เราจึงกลับมาโฟกัสที่น้ำตบเป็นหลัก หยุดทำตัวอื่นๆ ทั้งหมดลง โดยการทำตลาดน้ำตบเซวาครั้งนี้ มีการปรับสูตรใหม่ ปรับราคาใหม่เป็น 1,590 บาท จากเดิม 1,190 บาท ในขนาด 120 ml. เท่ากัน ขณะที่ประสิทธิภาพของสูตรใหม่นี้เทียบเท่ากับเคาท์เตอร์แบรนด์ราคา 5,000-6,000 บาทขึ้นไป เป็นผลิตภัณฑ์ที่ใช้แล้วเห็นผลจริง แน่นอนว่าจากนี้เราจะไม่สู้เรื่องราคาแต่จะสู้ด้วยคุณภาพ ตั้งราคาอย่างมีเหตุผลตามคุณค่าที่ลูกค้าได้รับ เพื่อให้ทุกคนรู้สึกว่าได้มากกว่าที่จ่าย” นางสาวเบญจกิติ กล่าว.


