ผู้จัดการรายวัน 360 - MALEE ปรับทัพทรานส์ฟอร์มสู่ Global Wellbeing Company ภายในปี 71 ชู 5 กยุทธ์ขับเคลื่อน มุ่งขยายตลาดต่างประเทศ ปั้นแบรนด์ MALEE สู่ Wellness Lifestyle Brand ในระดับภูมิภาค พร้อมรักษาแชมป์ในประเทศ สู่เป้ารายได้เติบโต 10-15% ต่อเนื่องใน 3 ปี นับจากปี 2569-2571 ส่วนปีนี้เดิมคาดโต 20% แต่น่าจะต่ำกว่าเป้าหมาย เหตุลูกค้าชะลอสั่งผลิตลดลง
นายเอกรินทร์ พินิจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท มาลี กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ MALEE ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ เปิดเผยว่า กว่า 47 ปี ที่ มาลี กรุ๊ป ยืนหยัดในฐานะแบรนด์ที่เชื่อในพลังจากธรรมชาติจากพืชและนม ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของการสร้างสุขภาพที่ดีและความสุขในทุกๆ วัน ส่งผลให้ปัจจุบัน Malee เป็นผู้นำตลาดอันดับ 1 ในกลุ่มน้ำผลไม้พรีเมียมพร้อมดื่ม และอันดับ 1 ในกลุ่มน้ำมะพร้าว เมื่อเดือนมิ.ย. 2568ที่ผ่านมา
โดยรายได้หลัก 60% มาจากในประเทศ และ 40% มาจากต่างประเทศ ซึ่งกว่า 35% เป็นรายได้จากโอนแบรนด์ และกว่า 65% เป็นรับจ้างผลิต
ล่าสุดปีนี้บริษัทพร้อมเดินหน้าสร้างบริบทครั้งใหม่ ด้วยวิสัยทัศน์ 'Beyond Fruit to Global Wellbeing' เพื่อทรานส์ฟอร์มองค์กรครั้งสำคัญสู่ Global Wellbeing Company หรือบริษัทที่ส่งมอบสุขภาวะระดับโลกอย่างเต็มรูปแบบในปี 2571 ภายใต้การสร้างวัฒนธรรมองค์กร 'One Malee' หลอมรวมพลังทุกคนในองค์กรเป็นหนึ่งเดียว ทั้งบริษัท ทีม และเป้าหมาย เพื่อขับเคลื่อนพันธกิจเดียวกัน นำความเชี่ยวชาญน้ำผลไม้ผสานกับนวัตกรรมและเทคโนโลยีทางวิทยาศาสตร์ ส่งมอบสุขภาวะที่ดีทั้งสุขภาพและความสุขของคนทั้งโลกที่ดียิ่งขึ้น ซึ่งจะยกระดับคุณภาพชีวิตและสร้างสรรค์สังคมอย่างยั่งยืน
“การทรานฟอร์มสู่การเป็น REGIONAL TRUSTED Brand ใน 3 ปีนี้ จะเริ่มจากปีนี้ ด้วยแผนการวางรากฐานบุกตลาดใหม่ๆ ทั้งในและต่างประเทศ ภายใต้เทรนด์รักสุขภาพที่มาแรงต่อเนื่อง และในปี 2569 พร้อมเข้าแข่งขันในตลาดใหม่ๆ อย่างเต็มกำลัง กับตลาดที่ยังไม่เคยทำมาก่อน รวมถึงโฟกัสตลาดต่างประเทศที่มีศักยภาพ จากที่ส่งออกไปแล้วกว่า 30 ประเทศ และเพิ่มประเทศใหม่ๆ
โดยตั้งเป้าหมายรายได้ในปี 2570 ที่น่าจะมีอัตราการเติบโตต่อเนื่อง เพิ่มขึ้นอีก 10-15% ซึ่งรายได้จะมาจาก โอนแบรนด์ 55% และรับจ้างผลิต 45%
สำหรับการทรานส์ฟอร์มสู่ Global Wellbeing Company ครั้งนี้จะถูกขับเคลื่อนภายใต้ 5 กลยุทธ์ คือ 1.โอนแบรนด์ หรือ ธุรกิจตราสินค้า (Brand Business) จะต้องเติบโตขึ้นจากการทำตลาดใหม่ๆ และการเปิดตัวสินค้าใหม่ออกสู่ตลาด 2-3 รายการต่อปี พร้อมปรับภาพลักษณ์แบรนด์และผลิตภัณฑ์ สู่การเป็นผู้นำด้านสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น จากปัจจุบันมีผลิตภัณฑ์ที่หลากหลาย ทั้งน้ำผลไม้, น้ำผัก Malee, ผลิตภัณฑ์น้ำมะพร้าว Malee Coco, ผลไม้กระป๋องมาลี Malee และผลิตภัณฑ์นม ตราฟาร์มโชคชัย เป็นต้น
2.รับจ้างผลิต (Contract Manufacturing) หรือ ธุรกิจ CMG มุ่งเติบโตจากลูกค้าใหม่ และการขยายพอร์ตโฟลิโอสู่การเป็นผู้พัฒนาผลิตภัณฑ์และรับจ้างผลิต ไปในสินค้าที่ครบวงจรและหลากหลาย เช่น เครื่องดื่มน้ำมะพร้าว, นมจากพืช (Plant base milk), ผลิตภัณฑ์ที่นำนมวัวมาเป็นวัตถุดิบหลักไปแปรรูป (Dairy milk), ชาและกาแฟ เพื่อขยายฐานลูกค้าใหม่ เพิ่มโอกาสทางการตลาด และเป็นพันธมิตรที่ลูกค้าเลือกเป็นอันดับแรก
3.MAS (Malee Applied Science) หน่วยงานวิจัยและพัฒนานวัตกรรม มุ่งเน้นพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าเพิ่มสูง ในด้านอาหารและอาหารเสริม และมุ่งขยายขอบเขตธุรกิจเพื่อสร้างโอกาสเติบโตใหม่ และแหล่งรายได้ใหม่เพิ่มเติม นอกเหนือจากธุรกิจหลักที่ดำเนินอยู่
4.ระบบหลังบ้าน มุ่งบริหารค่าใช้จ่าย และต้นทุนการผลิตให้ดียิ่งขึ้น ทำการตลาดให้มากขึ้น ใช้เทคโนโลยีมากขึ้น ส่งผลให้ผลประกอบครึ่งปีแรกนี้ทำได้เกือบ 4,000 ล้านบาท ที่สำคัญส่งผลให้มีกำไรที่ดีมากขึ้นเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา
5.ทีมงาน มุ่งสร้างวัฒนธรรมองค์กร เพิ่มทักษะให้พนักงาน นำไปสู่การแข่งขันในตลาดได้ดีขึ้น
นางเรืองรัตน์ ว่องสุวรรณเลิศ รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส สายงานการตลาด บริษัท มาลี กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ MALEE กล่าวว่า สำหรับแผนการทำตลาดในประเทศนั้น จากศักยภาพการเติบโตของตลาดเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ โดยเฉพาะในกลุ่มน้ำผักผลไม้และน้ำมะพร้าว ที่พบว่าผู้บริโภคยุคใหม่ให้ความสำคัญกับการดูแลสุขภาพแบบองค์รวมและเชิงป้องกันมากขึ้น มีส่วนผสมที่มีคุณประโยชน์เพิ่มสูงขึ้น ส่งผลให้ทางบริษัทจะเน้นพัฒนาสินค้าและนวัตกรรมๆที่มีมูลค่าเพิ่มสูงขึ้น
โดยผลิตภัณฑ์ใหม่ล่าสุด คือ Malee Power Plants ที่มีนวัตกรรม INNOGUTZ ช่วยเสริมสร้างสุขภาพลำไส้ให้แข็งแรงด้วยพรีไบโอติกส์และโพสไบโอติกส์ พร้อมต่อยอดสู่ผลิตภัณฑ์ที่เน้นสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดีในปี 2569 ต่อไป
นอกจากนี้จะปรับภาพลักษณ์แบรนด์ Malee และ Malee COCO ให้เข้าถึงคนรุ่นใหม่ ผ่านกิจกรรมการตลาดที่หลากหลาย เช่น การใช้แบรนด์แอมบาสเดอร์ การจัดอีเวนต์ และการสื่อสารเชิงนวัตกรรม และขยายช่องทางจำหน่ายใหม่ที่มีศักยภาพสูง ทั้งกลุ่ม Food Service และ Online
ส่วนตลาดต่างประเทศนั้น มุ่งสร้างการเติบโตจากการขยายธุรกิจต่างประเทศ โดยธุรกิจตราสินค้า (Brand Business) จะยกระดับแบรนด์ Malee สู่การเป็น Wellness Lifestyle Brand ระดับภูมิภาค ซึ่งเป็นก้าวสำคัญสู่การเป็นแบรนด์ระดับโลก โดยใช้นวัตกรรมเป็นหัวใจหลักในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้ตอบโจทย์ผู้บริโภคในแต่ละประเทศ พร้อมรุกตลาดใหม่ และเจาะตลาดที่มีศักยภาพสูง ได้แก่ จีน, ตะวันออกกลาง, อินโดนีเซีย และเกาหลีใต้ รวมถึงสร้างความแข็งแกร่งในตลาดเดิม ผ่านการทำกิจกรรมส่งเสริมการขายและการตลาดอย่างต่อเนื่อง
ส่วนธุรกิจรับจ้างผลิต (CMG) จะสร้างการเติบโตจากลูกค้าปัจจุบัน รายใหญ่ และสรรหาพันธมิตรทางธุรกิจชั้นนำระดับโลก รวมถึงสนับสนุนพันธมิตรทางธุรกิจด้วยโซลูชันที่ยั่งยืน โดยวางเป้าหมายในปี 2571 บริษัทจะก้าวสู่ 'Global Wellbeing Company' ด้วยการเป็นแบรนด์ที่ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางในระดับภูมิภาค
นายเอกรินทร์ กล่าวถึงปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชาด้วยว่า ปัญหาดังกล่าวส่งผลต่อการส่งออกให้สะดุดลงไปบ้าง เพราะมาลีเองมีส่งออกสินค้าในกลุ่มโอนแบรนด์หลายรายการไปยังกัมพูชา ทั้งน้ำผลไม้ ผลไม้กระป๋อง และผลิตภัณฑ์เดลีฟาร์ม แต่เชื่อว่าเป็นปัญหาชั่วคราว ซึ่งทางบริษัทยังมีการปรึกษาพูดคุยกับตัวแทนจำหน่ายในกัมพูชาอยู่ตลอด ทั้งนี้มาลีมีการส่งออกไปกว่า 30 ประเทศทั่วโลก แม้จะสะดุดไป 1 ประเทศ แต่ก็ยังมีอีกกว่า 29 ประเทศที่ยังส่งออกอยู่ ดังนั้นบริษัทจะโฟกัสและประเทศเหล่านี้ที่มีศักยภาพสูงให้มากขึ้น ทำตลาดในกลุ่มสินค้าใหม่ๆ มากขึ้น เช่น จีน จากที่น้ำมะพร้าวได้รับความนิยมสูงมาก จนทำให้เราเลือก จางหลิงเฮ่อ-นักแสดงชื่อดัง จากประเทศจีน มาเป็นพรีเซนเตอร์ให้กับผลิตภัณฑ์น้ำมะพร้าว Malee Coco เป็นต้น
อย่างไรก็ตามสำหรับผลประกอบการครึ่งแรกปีนี้ (ม.ค.-มิ.ย) บริษัททำได้ 3,824.2 ล้านบาท ลดลง 12.6% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน มาจากรับจ้างผลิต 64% โอนแบรนด์ 35% และเดลี่ ฟาร์ม 1% ภายใต้ 3 โรงงานหลัก คือ สามพราน, ปากช่อง และเวียดนาม และอีก 1 ฟาร์มวัว ที่บึงกาฬ ด้วยกำลังผลิตเพียง 70% หรือกว่า 749 ล้านลิตรต่อปี ยังเหลืออีก 30% ที่รองรับกำลังผลิตได้ในอนาคต
ส่วนภาพรวมรายได้ของปีนี้ เดิมคาดว่าจะเติบโตขึ้น 20% แต่จากปัจจัยภายนอก และสถานการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นมาตลอดนับตั้งแต่ต้นปี ส่งผลให้ลูกค้าชะลอแผนสั่งผลิตสินค้าลดลง จึงคาดว่าถึงสิ้นปีนี้ บริษัทจะมีรายได้น้อยกว่าปีที่ผ่านมา


