xs
xsm
sm
md
lg

“อารดา”ลุยรับมือภาษีสหรัฐฯ แก้ปมค้าชายแดนไทย-กัมพูชาวูบ ดันส่งออกข้าว-มันเข้าเป้า 7.5 ล้านตัน

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ตัวเลขการค้าที่อยู่ในความรับผิดชอบของกรมการค้าต่างประเทศ มีสถิติออกมาแล้ว 8 เดือน โดยการค้าชายแดนและการค้าผ่านแดน ยังอยู่ในแดนลบ การส่งออกข้าว ก็อยู่ขยายตัวติดลบ ยกเว้นการส่งออกมันสำปะหลัง ที่ขยายตัวเพิ่มขึ้น โดยยอดตัวเลขที่ลดลง ไม่ได้เป็นเพราะขีดความสามารถในการแข่งขันลดลง หรือความสามารถของไทยลดลง แต่เกิดจากปัจจัยภายนอกประเทศที่เข้ามากดดัน

นางอารดา เฟื่องทอง อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ ในฐานะที่กำกับดูแล ยืนยันว่า จะพยายามอย่างเต็มที่ เพื่อผลักดันตัวเลขการค้าในช่วงที่เหลืออยู่ให้ขยายตัวได้มากที่สุด ทั้งการค้าชายแดน การส่งออกข้าว และมันสำปะหลัง รวมถึงการทำแผนขับเคลื่อนงานในช่วงที่เหลือของปี 2568 และยาวไปจนถึงปี 2569


ค้าชายแดนลดจากยอดกัมพูชาวูบ

สำหรับการค้าชายแดนและการค้าผ่านแดน ตัวเลขล่าสุดเดือน ส.ค.2568 มีมูลค่า 150,131 ล้านบาท ลดลง 3.1% เป็นการส่งออก 75,056 ล้านบาท ลด 14.7% การนำเข้า 75,074 ล้านบาท เพิ่ม 12.2% ขาดดุลการค้า 18 ล้านบาท และรวม 8 เดือนของปี 2568 (ม.ค.-ส.ค.) การค้าชายแดนและการค้าผ่านแดน มีมูลค่า 1,338,400 ล้านบาท เพิ่ม 9.2% เป็นการส่งออก 763,533 ล้านบาท เพิ่ม 7.6% การนำเข้า 574,867 ล้านบาท เพิ่ม 11.4% ได้ดุลการค้า 188,666 ล้านบาท

ทั้งนี้ หากแยกเฉพาะการค้าชายแดนกับประเทศเพื่อนบ้าน 4 ประเทศ เดือน ส.ค.2568 มีมูลค่า 63,938 ล้านบาท ลด 23.6% เป็นการส่งออก 33,951 ล้านบาท ลด 30.1% การนำเข้า 29,986 ล้านบาท ลด 14.5% ได้ดุลการค้า 3,965 ล้านบาท โดยการค้าชายแดนกับมาเลเซียมีมูลค่าสูงสุด 26,969 ล้านบาท ลด 5.7% รองลงมา คือ สปป.ลาว 23,131 ล้านบาท ลด 0.1% เมียนมา 13,827 ล้านบาท ลด 20.8% และกัมพูชา 10 ล้านบาท ลด 99.9% ซึ่งสินค้าส่งออกชายแดนสำคัญ ได้แก่ น้ำมันดีเซล 2,051 ล้านบาท เครื่องคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์อื่น ๆ 1,350 ล้านบาท และน้ำมันสำเร็จรูปอื่นๆ 1,117 ล้านบาท รวม 8 เดือน ปี 2568 การค้าชายแดนมีมูลค่ารวม 636,219 ล้านบาท ลด 3.6% เป็นการส่งออก 377,902 ล้านบาท ลด 6.7% และการนำเข้า 258,317 ล้านบาท เพิ่ม 1.2%

ส่วนการค้าผ่านแดนไปประเทศที่สาม เดือน ส.ค.2568 มีมูลค่า 86,193 ล้านบาท เพิ่ม 20.9% เป็นการส่งออก 41,105 ล้านบาท เพิ่ม 4.3% การนำเข้า 45,088 ล้านบาท เพิ่ม 41.5% โดยการค้าผ่านแดนไปจีน มีมูลค่าสูงสุด 41,181 ล้านบาท เพิ่ม 12.9% รองลงมา คือ สิงคโปร์ และเวียดนาม มูลค่า 14,279 ล้านบาท เพิ่ม 56.0% และ 8,361 ล้านบาท เพิ่ม 27.8% ตามลำดับ ซึ่งสินค้าส่งออกผ่านแดนสำคัญ ได้แก่ ฮาร์ดดิสก์ไดรฟ์ 7,135 ล้านบาท ทุเรียนสด 7,095 ล้านบาท และเครื่องคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์อื่น ๆ 2,339 ล้านบาท รวม 8 เดือน ปี 2568 การค้าผ่านแดนมีมูลค่า 702,181 ล้านบาท เพิ่ม 24.2% เป็นการส่งออก 385,631 ล้านบาท เพิ่ม 26.5% และการนำเข้า 316,550 ล้านบาท เพิ่ม 21.4%

“การส่งออกชายแดนไปกัมพูชา ลดลง 2 เดือนติดต่อกัน เพราะมีการปิดด่าน โดยเดือน ก.ค.2568 ซึ่งเป็นเดือนแรก ลด 97.5% มาเดือน ส.ค.2568 ลด 99.9% เหลือส่งออกแค่ 7 ล้านบาท เป็นการส่งออกไวน์ 5 ล้านบาท แร่และเชื้อเพลิง 1 ล้านบาท และวิสกี้ 1 ล้านบาท และคาดว่าจนถึงสิ้นปี หากยังคงปิดด่าน การค้าก็จะชะงักต่อไป โดยการค้าชายแดนกับกัมพูชา ปี 2567 ที่ผ่านมา ประมาณ 1.74 แสนล้านบาท แต่ตอนนี้ มีตัวเลข 8 เดือน แค่ 9.2 หมื่นล้านบาท คงจะยืนตัวเลขประมาณนี้ไปจนถึงสิ้นปี หากยังไม่มีการเปิดด่าน นั่นเท่ากับว่า หากเทียบกับปี 2567 การค้าจะหายไปราว ๆ 8 หมื่นล้านบาท”นางอารดากล่าว


ยังมั่นใจทั้งปี 68 ยอดรวมเข้าเป้า

นางอารดากล่าวว่า ยอดรวม 8 เดือน ปี 2568 การค้าชายแดนและการค้าผ่านแดน มีมูลค่า 1.33 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 9.2% แยกเป็นการค้าชายแดน 6.36 แสนล้านบาท ลดลง 3.6% และการค้าผ่านแดน 7.02 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้น 24.2% โดยทั้งปี 2568 คาดว่า จะทำได้ตามเป้า 1.81-1.85 ล้านล้านบาท เพิ่ม 1-2% เพราะได้การค้าผ่านแดนไปจีน สิงคโปร์ เวียดนามมาทดแทน แต่การค้าชายแดนไปกัมพูชาลดแน่ เมียนมา ก็น่าจะเริ่มลด เพราะมีปัญหาปิดด่านแม่สอด-เมียวดี

โดยผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา ซึ่งเบื้องต้นสำรวจแล้วมีประมาณ 100 ราย เป็นกลุ่มสินค้าอาหารและเครื่องดื่ม สินค้าอุปโภคบริโภค ชิ้นส่วนยานยนต์ เป็นต้น กรมมีมาตรการช่วยเหลือโดยจะให้สิทธิ์ผู้ประกอบการเหล่านี้เป็นอันดับแรกในการเข้าร่วมงานมหกรรมการค้าชายแดน ปี 2569 ที่จะจัด 6 ครั้ง และจะจัดบิสสิเนส แมชชิ่ง กับผู้ซื้อ ผู้นำเข้าชายแดนตลาดอื่น เพื่อขยายตลาดส่งออก และดึงผู้ประกอบการขนส่งช่วยในการขนส่งสินค้าราคาพิเศษให้ด้วย

ส่วนเป้าหมายการค้าชายแดนและการค้าผ่านแดน ปี 2569 กรมจะประเมินสถานการณ์อีกครั้ง แต่เบื้องต้นจะไม่มีตัวเลขการค้าชายแดนฝั่งกัมพูชา โดยมูลค่าหากทำได้เท่ากับเป้าปี 2568 ที่ 1.81-1.85 ล้านล้านบาท ก็ถือว่าทำได้ดีแล้ว ส่วนปี 2570 ที่ตั้งเป้าไว้ว่ามูลค่าการค้าจะเพิ่มเป็น 2 ล้านล้านบาท อาจจะต้องปรับ และหาแนวทางอื่น เพื่อผลักดันให้ไปถึงเป้าให้ได้ต่อไป


สารพัดปัจจัยกดดันส่งออกข้าว

นางอารดากล่าวว่า การส่งออกข้าวในช่วง 8 เดือน ปี 2568 (ม.ค.-ส.ค.) มีปริมาณ 5.04 ล้านตัน ลดลง 23.98% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีปริมาณส่งออกอยู่ที่ 6.63 ล้านตัน มีมูลค่า 2,987 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 99,061 ล้านบาท) ลดลง 30.58% จากปีก่อนที่มีมูลค่า 4,303 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 153,913 ล้านบาท)

โดยมีสาเหตุจากปริมาณผลผลิตข้าวในตลาดโลกเพิ่มขึ้นจากสภาพอากาศที่เหมาะสม กดดันด้านราคา ผู้นำเข้าสำคัญอย่างอินโดนีเซียและฟิลิปปินส์ชะลอการนำเข้า โดยฟิลิปปินส์ระงับการนำเข้าข้าวเป็นการชั่วคราว 60 วัน ความหลากหลายของพันธุ์ข้าวไทยตรงกับความต้องการของตลาดน้อยกว่าเวียดนาม อินเดียกลับมาส่งออกข้าวตามปกติและมีปริมาณผลผลิตข้าวภายในประเทศปริมาณกว่า 150 ล้านตัน มีสต๊อกข้าวปริมาณกว่า 48 ล้านตัน และค่าเงินบาทแข็งค่า ที่มีส่วนมาก ๆ ทำให้การแข่งขันของข้าวไทยลดลง เมื่อเทียบกับคู่แข่ง ทั้งอินเดียและเวียดนาม ที่ค่าเงินล้วนอ่อนค่า แต่ไทยแข็งค่า

แม้ภาพรวมจะส่งออกข้าวได้ลดลง แต่ไทยส่งออกข้าวไปจีน สหรัฐฯ แอฟริกาใต้ ภูมิภาคตะวันออกกลาง และยุโรปได้เพิ่มขึ้น โดยข้าวหอมมะลิไทย ข้าวนึ่ง ข้าวเหนียว และข้าวกล้อง เป็นชนิดข้าวที่มีปริมาณการส่งออกเพิ่มขึ้น ส่วนข้าวที่มีปริมาณส่งออกลดลง คือ ข้าวขาว และข้าวหอมไทย ที่มีการแข่งขันสูงทางด้านราคากับผู้ส่งออกสำคัญอย่างเวียดนาม อินเดีย และปากีสถาน


คงเป้าส่งออกทั้งปี 7.5 ล้านตัน

สำหรับเป้าหมายปี 2568 ที่ตั้งไว้ที่ 7.5 ล้านตัน หากจะส่งออกได้ตามเป้า การส่งออกเฉลี่ยต่อเดือนในช่วง 4 เดือนที่เหลือต้องทำได้ประมาณเดือนละ 6 แสนตัน ซึ่งมีแนวโน้มที่จะทำได้ เพราะกรมได้เร่งรัดผลักดันการส่งออกข้าวอย่างเต็มที่ โดยล่าสุดได้ผลักดันจีนให้ซื้อข้าวจีทูจีในส่วนที่ค้างอยู่ 2.8 แสนตัน คาดว่า จะส่งมอบได้เดือน พ.ย.2568 และขอให้ซื้อเพิ่มอีก 2.2 แสนตัน น่าจะมีความชัดเจนภายในเดือน ต.ค.2568 ส่วนตลาดอื่น ๆ จะให้การต้อนรับคณะผู้นำเข้าข้าวฮ่องกงเดือน พ.ย.2568 จะผลักดันให้ซื้อข้าวไทย โดยเฉพาะข้าวหอมมะลิไทย รวมทั้งจะเร่งรัดส่งออกข้าวขาวและข้าวนึ่งไปตลาดอิรัก และซาอุดิอาระเบีย ทำความตกลง MOU กับสิงคโปร์ ในการซื้อขายข้าว 1 แสนตัน และนำผู้ประกอบการเข้าร่วมงานแสดงสินค้า เช่น Foodex Saudi (ซาอุดีอาระเบีย) งาน ANUGA (เยอรมนี) และงาน China International Import Expo (CIIE) (จีน) เพื่อเพิ่มโอกาสและขยายช่องทางตลาดของข้าวไทยไปสู่ตลาดต่างประเทศให้เพิ่มขึ้น


มั่นใจส่งออกมันเข้าเป้า 7.5 ล้านตัน

ทางด้านการส่งออกมันสำปะหลังในช่วง 8 เดือน ปี 2568 มีปริมาณการ 6.37 ล้านตัน เพิ่มขึ้น 36.70% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีการส่งออกเพียง 4.66 ล้านตัน มีมูลค่า 69,888.12 ล้านบาท ลดลง 12.93% จากปีก่อนที่มีมูลค่าประมาณ 80,266.47 ล้านบาท โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากการผลักดันการส่งออกไปยังจีน และซาอุดิอาระเบีย ซึ่งเป็นการกระตุ้นตลาดเดิมและเปิดตลาดใหม่ การจัดประชุมสัมมนามันสำปะหลังโลก ปี 2568 ที่มีผู้ซื้อ ผู้นำเข้าจากทั่วโลกมาร่วมงาน และมียอดสั่งซื้อมากกว่า 1 หมื่นล้านบาท

โดยในช่วงที่เหลือของปีนี้ กรมจะเดินหน้าจัดกิจกรรมขยายตลาดส่งออกมันสำปะหลังอย่างต่อเนื่อง มีแผนจัดคณะผู้แทนภาครัฐและเอกชนเดินทางไปเจรจาขยายตลาดที่ญี่ปุ่น สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ จีน ทวีปอเมริกาเหนือ และทวีปยุโรป เป็นต้น เพื่อผลักดันการส่งออกสินค้ามันสำปะหลังเข้าสู่อุตสาหกรรมต่อเนื่องที่หลากหลายมากขึ้น ได้แก่ อุตสาหกรรมอาหารสัตว์ อุตสาหกรรมอาหาร อุตสาหกรรมเคมี กาว และกระดาษ

“ได้นำคณะผู้แทนการค้าภาครัฐและนักวิชาการเดินทางไปขายมันสำปะหลังที่ญี่ปุ่นแล้ว ที่เมืองฟูกูโอกะและคุมาโมโตะ ผลปรากฏว่า ผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมอาหารสัตว์ อาหารเพื่อสุขภาพ และสัตว์เลี้ยง สนใจซื้อผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังไทยไปใช้ ทั้งนำไปเลี้ยงวัวทำเนื้อวากิว ทำเม็ดไข่มุกในชานมและเป็นวัตถุดิบผลิตผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ และทำเป็นทรายแมว รวมถึงห้องน้ำฉุกเฉินรับมือภัยพิบัติ”นางอารดากล่าว

นอกจากนี้ จะพาผู้ประกอบการเข้าร่วมงานแสดงสินค้าในต่างประเทศ เพื่อแนะนำสินค้าและเปิดตลาดให้กับมันสำปะหลังไทย และจะชูจุดขายสินค้าพรีเมียม คุณภาพสูง พลังงานสูง Non-GMO และ Non-Gluten เพื่อรองรับอุตสาหกรรมอาหารสัตว์และอาหารเพื่อการบริโภคของมนุษย์ ซึ่งมั่นใจว่า ผลจากการดำเนินมาตรการ จะทำให้การส่งออกมันสำปะหลังในปี 2568 ทำได้ตามเป้าที่ตั้งไว้ 7.5 ล้านตันอย่างแน่นอน

ขณะเดียวกัน ได้เข้มงวดการนำเข้ามันสำปะหลังจากประเทศเพื่อนบ้าน โดยกำหนดให้ผู้นำเข้าต้องขึ้นทะเบียน แจ้งข้อมูลก่อนนำเข้า แยกสถานที่เก็บ รายงานการนำเข้า และให้นำเข้าได้ 25 จุด 24 จังหวัด รวมทั้งจะมีการตรวจสอบมาตรฐาน ณ ด่านศุลกากรชายแดน หากไม่ผ่าน จะพักทะเบียนนำเข้า จนกว่าจะปรับปรุงให้ได้มาตรฐาน ทั้งนี้ ในช่วง 8 เดือน ปี 2568 มีการนำเข้าหัวมันสดและมันเส้น 3.98 ล้านตัน เพิ่ม 2.31% ส่วนใหญ่นำเข้าจาก สปป.ลาว 2.58 ล้านตัน เพิ่ม 18.35% กัมพูชา 1.38 ล้านตัน ลด 17.86% และเมียนมา 0.02 ล้านตัน ลด 33.33%


ทำแผนรับมือภาษีสหรัฐฯ

นางอารดากล่าวว่า สำหรับแผนการทำงานในปีงบประมาณ 2569 ที่เริ่มตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค.2568 มีงานเร่งด่วนที่กรมจะต้องดำเนินการ ก็คือ การรับมือกฎเกณฑ์ใหม่ของสหรัฐฯ ในเรื่องกฎถิ่นกำเนิดสินค้า และการป้องกันการสวมสิทธิ์ถิ่นกำเนิดสินค้าไทย โดยจะทำการปรับปรุงกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับแนวทางการส่งออกไปสหรัฐฯ นำ AI มาช่วยในการตรวจสอบ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ รองรับปริมาณงานที่เพิ่มขึ้นในอนาคต และรองรับกฎถิ่นกำเนิดสินค้าใหม่ของสหรัฐฯ รวมทั้งจะเร่งเชื่อมข้อมูลระหว่างหน่วยงานภาครัฐ เช่น กรมโรงงานอุตสาหกรรม และสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) แลกเปลี่ยนข้อมูลและเชื่อมโยงฐานข้อมูลที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้การดูแลเรื่องถิ่นกำเนิดสินค้าเป็นไปตามเงื่อนไขที่สหรัฐฯ กำหนด และเอื้อต่อการส่งออกไปสหรัฐฯ

ทั้งนี้ ยังจะเร่งจัดทำระบบการให้บริการออกหนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าสำหรับการส่งออกไปสหรัฐฯ (Form C/O สหรัฐฯ) หากเงื่อนไขเกี่ยวกับกฎถิ่นกำเนิดสินค้ามีความชัดเจน ก็จะเร่งจัดทำระบบให้แล้วเสร็จ โดยคาดว่าผู้ประกอบการจะสามารถใช้งานระบบ DFT SMART C/O เพื่อขอ Form C/O สหรัฐฯ ได้ภายในเดือน ก.พ.2569 และยังจะเร่งประชาสัมพันธ์และจัดอบรมสัมมนาให้ความรู้แก่ผู้ประกอบการเกี่ยวกับกฎเกณฑ์ใหม่ของสหรัฐฯ กฎถิ่นกำเนิดสินค้า เพื่อให้สามารถปฏิบัติได้ถูกต้อง

เร่งมาตรการเยียวยาทางการค้า

นางอารดากล่าวว่า ในด้านการเยียวยาทางการค้า เพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการไทย จะดำเนินการตามนโยบายที่ได้รับจากนางศุภจี สุธรรมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ โดยจะปรับปรุงกระบวนการพิจารณาให้เร็วขึ้น ทั้งการใช้มาตรการตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุน (AD-CVD) การป้องกันการนำเข้าที่เพิ่มขึ้น (Safeguard) การป้องกันการหลีกเลี่ยง AD-CVD โดยนำ AI มาใช้ตรวจสอบในส่วนของการยื่นคำขอ และร่นระยะเวลากระบวนการไต่สวนให้เร็วขึ้น

ส่วนการแก้ไขปัญหาสินค้าและธุรกิจต่างประเทศที่ฝ่าฝืนกฎหมาย กรมอยู่ระหว่างการทบทวนคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการบริหารจัดการแก้ไขปัญหาสินค้าและธุรกิจต่างประเทศที่ฝ่าฝืนกฎหมาย หลังคำสั่งสิ้นสุดเมื่อวันที่ 29 ส.ค.2568 ว่าจะดำเนินการอย่างไร แต่ในระหว่างนี้ จะยังคงร่วมมือกับ 17 หน่วยงานดำเนินการแก้ไขการนำเข้าสินค้าไม่ได้คุณภาพ เพื่อปกป้องผู้บริโภค และแก้ไขปัญหานอมินีที่กระทบต่อธุรกิจไทยต่อไป

รับมือสินค้าที่ใช้ได้สองทาง

นอกจากนี้ จะเริ่มใช้มาตรการใบอนุญาตส่งออก (Export License) สำหรับสินค้าที่สามารถนำไปใช้เพื่อเป็นสินค้าปกติและใช้เป็นส่วนประกอบในอาวุธที่มีอานุภาพทำลายล้างสูง (WMD) หรือที่เรียกกันว่าสินค้าสองทาง (Dual-Use Items : DUI) ที่เกี่ยวข้องกับนิวเคลียร์ เพื่อเสริมสร้างความมั่นใจสินค้าไทยในเวทีโลกและนักลงทุนต่างชาติว่าไทยยืนอยู่ข้างสันติภาพของโลก โดยมีสินค้าที่อยู่ในข่ายควบคุมจำนวน 10 หมวด (หมวด 0-9) รวมจำนวน 1,775 สินค้า คิดเป็นมูลค่าส่งออกในปี 2567 ที่ผ่านมา จำนวน 3.51 ล้านล้านบาท คิดเป็น 30% ของยอดส่งออกรวมที่มีมูลค่ากว่า 10 ล้านล้านบาท

สำหรับสินค้า DUI ทั้ง 10 หมวด ได้แก่ หมวด 0 จำนวน 41 สินค้า อาทิ เครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์ อุปกรณ์แขนกล และยูเรเนียมธรรมชาติ เป็นต้น หมวด 1 จำนวน 483 สินค้า อาทิ วัสดุพิเศษและอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้อง หมวด 2 จำนวน 218 สินค้า อาทิ การแปรรูปวัสดุ หมวด 3 จำนวน 237 สินค้า อาทิ อิเล็กทรอนิกส์ หมวด 4 จำนวน 21 สินค้า อาทิ คอมพิวเตอร์ หมวด 5 จำนวน 96 สินค้า อาทิ โทรคมนาคมและการรักษาความปลอดภัยข้อมูล หมวด 6 จำนวน 353 สินค้า อาทิ เซนเซอร์และเลเซอร์ หมวด 7 จำนวน 93 สินค้า อาทิ ระบบนำร่องและระบบอิเล็กทรอนิกส์การบิน หมวด 8 จำนวน 58 สินค้า อาทิ ยานพาหนะและอุปกรณ์ทางทะเล หมวด 9 จำนวน 171 สินค้า อาทิ การบิน อวกาศและการขับดัน

ทั้งนี้ กรมจะนำร่องบังคับใช้มาตรการออกใบอนุญาตสำหรับการส่งออกและการส่งกลับสินค้า DUI หมวด 0 ก่อน โดยผู้ส่งออกต้องตรวจสอบว่าสินค้าของตนเป็น DUI หมวด 0 หรือไม่ ผ่านระบบ e-Classification ของกรมที่ www.etcwmd.dft.go.th หากพบว่าเป็น DUI จะต้องยื่นขออนุญาตผ่านระบบ e-DUI Licensing ที่กรมพัฒนาขี้นมาโดยเฉพาะเพื่ออำนวยความสะดวกให้กับผู้ส่งออก พร้อมแนบเอกสารประกอบ เช่น หนังสือรับรองการใช้สุดท้าย และเอกสารการซื้อขายสินค้า ซึ่งปัจจัยสำคัญที่จะใช้ในการพิจารณาของกรม คือ ผู้ซื้อและการใช้งานสุดท้ายของสินค้านั้นจะถูกใช้อย่างไร หรือหลักการ KYC (Know Your Customer) นั่นเอง โดยระบบ e-classification จะเริ่มเปิดระบบให้ผู้ประกอบการตรวจสอบได้ตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค.2568 และผู้ประกอบสามารถยื่นขอใบอนุญาตผ่านระบบ e-DUI Licensing ได้ตั้งแต่ช่วงเดือน ธ.ค.2568

ขณะเดียวกัน จะขยายกรอบการควบคุม โดยจะทำเป็นระยะ ๆ ค่อยเป็นค่อยไป เพื่อให้ผู้ประกอบการได้เรียนรู้และปรับตัวไปจนกระทั่งควบคุมครบทั้ง 10 หมวดของสินค้า DUI ภายในไตรมาส 2 ปี 2569 โดยจะประเมินรายการสินค้าอีกครั้ง จากสถานการณ์ด้านการส่งออกของไทยควบคู่ไปกับสถานการณ์ด้านความเสี่ยงด้านความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ ซึ่งอาจจะนำการตรวจสอบสินค้าหมวด 7 8 และ 9 มาบังคับใช้ก่อน เพราะเป็นสินค้าที่หลายประเทศมีความกังวลว่าจะถูกนำไปใช้ในการทำสงคราม


คุมเข้มนำเข้าข้าวโพดปลอดเผา

นางอารดากล่าวว่า ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.2569 เป็นต้นไป กรมจะกำหนดให้ผู้นำเข้าสินค้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ จะต้องมีหลักฐานเพื่อแสดงว่าสินค้าที่นำเข้ามาจากกระบวนการผลิตที่ปลอดการเผา เพื่อลดการก่อฝุ่นพิษ PM 2.5 ข้ามพรมแดนที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพประชาชน และเพื่อสร้างมาตรฐานการค้าใหม่ที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อม เนื่องจากข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ส่วนใหญ่มีแหล่งนำเข้าจากประเทศเพื่อนบ้านที่หลายพื้นที่ยังใช้วิธีเผาไร่หลังเก็บเกี่ยว ทำให้เกิดฝุ่น PM 2.5 ลอยข้ามมาไทย แต่ไทยจำเป็นต้องนำเข้า เพราะเป็นสินค้าที่ในประเทศผลิตไม่เพียงพอต่อความต้องการใช้ โดยต้องนำเข้าปีละกว่า 1.3–2 ล้านตัน

โดยมาตรการใหม่ จะกำหนดให้ผู้นำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ต้องขึ้นทะเบียนรายปีกับกรม และในการนำเข้าจะต้องแสดงหลักฐานว่าสินค้ามาจากการผลิตแบบปลอดการเผาตามหลักฐานที่กำหนด โดยในช่วงแรกถือเป็นช่วงเปลี่ยนผ่าน (transitional period) ของผู้นำเข้าไทย มีเป้าหมายจะเริ่มตั้งแต่ ม.ค.2569 ไปจนกระทั่ง พ.ร.บ.อากาศสะอาด และกฎหมายลูกมีผลบังคับใช้ โดยจะให้ผู้นำเข้าสามารถรับรองตนเองได้ว่าสินค้านำเข้ามาจากแหล่งที่ไม่เผา หรือใช้เอกสารจากหน่วยงานรัฐของประเทศผู้ส่งออกหรือองค์กรที่ได้รับการยอมรับในระดับสากลเป็นผู้รับรองก็ได้ พร้อมกับจะต้องมีการบันทึกข้อมูลการเพาะปลูก และที่ตั้งแปลงปลูกของสินค้าที่นำเข้า เพื่อให้สามารถตรวจสอบย้อนกลับได้ถึงแปลงเพาะปลูกในกรณีที่เกิดเหตุอันควรสงสัย

ส่วนในระยะที่สอง จะเริ่มภายหลังจาก พ.ร.บ.อากาศสะอาด และกฎหมายลูกมีผลบังคับใช้แล้ว จะใช้มาตรการที่มีความเข้มงวดมากขึ้น อาทิ การนำเข้าจะต้องใช้ใบรับรองจากหน่วยงานที่ยอมรับของประเทศผู้ส่งออกเท่านั้น และจะต้องมีแผนที่แปลงการเพาะปลูกมาประกอบด้วย เป็นต้น

ผลักดันใช้สิทธิประโยชน์ทางการค้า

นางอารดากล่าวว่า ในยุคที่การแข่งขันทางการค้ามีความผันผวนและการเจรจาทางการค้าเข้มข้นขึ้น การใช้สิทธิประโยชน์จาก FTA จึงเป็นเครื่องมือสำคัญในการลดอุปสรรคทางการค้า สร้างแต้มต่อด้านภาษีให้ผู้ประกอบการไทย บรรเทาผลกระทบจากความไม่แน่นอนในเศรษฐกิจโลก และยังเป็นกลไกสำคัญในการกระจายความเสี่ยง ลดการพึ่งพาตลาดเดิมขยายสู่ตลาดใหม่ที่มีศักยภาพ

อย่างไรก็ตาม กรมได้รับนโยบายนางศุภจี สุธรรมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ จะส่งเสริมและผลักดันให้ผู้ประกอบการใช้สิทธิ์ FTA เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยจัดสัมมนาให้ความรู้ทั่วประเทศ โดยในปีงบประมาณ 2568 ได้จัดสัมมนาครอบคลุมทุกภูมิภาค จำนวน 10 ครั้ง ในพื้นที่กรุงเทพฯ ระยอง สงขลา พระนครศรีอยุธยา กาญจนบุรี นครพนม นครราชสีมา บุรีรัมย์ ลำพูน และชลบุรี มีผู้เข้าร่วมสัมมนา 1,364 คน เกินกว่าเป้าหมายที่กำหนดไว้ 1,200 คน และในปีงบประมาณ 2569 จะเดินหน้าส่งเสริมการใช้สิทธิ์ FTA อย่างเข้มข้น ผ่านการทำงานเชิงรุก ทั้งในระดับนโยบายและพื้นที่ เพื่อให้ผู้ประกอบการไทยสามารถใช้ประโยชน์จาก FTA ได้อย่างเต็มศักยภาพ


กำลังโหลดความคิดเห็น