xs
xsm
sm
md
lg

GIT ยกระดับความยั่งยืนอุตสาหกรรมอัญมณี ดันไทยชิงส่วนแบ่งโลก 11 ล้านล้าน

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



สถาบันวิจัยและพัฒนาอัญมณีและเครื่องประดับแห่งชาติ (GIT) เดินหน้ายกระดับผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมอัญมณีและเครื่องประดับไทย เข้าสู่มาตรฐานความยั่งยืน หลังเป็นเมกะเทรนด์ ผู้ซื้อทั่วโลกให้ความสำคัญ เตรียมลุยผลักดันมาตรฐานห้องปฏิบัติการ มาตรฐานธรรมาภิบาล และมาตรฐานสากลเพื่อการส่งออก เพื่อสร้างโอกาสไทยชิงส่วนแบ่งตลาดโลกกว่า 11 ล้านล้านบาท

นายสุเมธ ประสงค์พงษ์ชัย ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยและพัฒนาอัญมณีและเครื่องประดับแห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือ GIT เปิดเผยว่า GIT จะเดินหน้ายกระดับโครงสร้างอุตสาหกรรมอัญมณีและเครื่องประดับไทย ด้วยแนวทางธรรมาภิบาล ความโปร่งใส และการตรวจสอบได้ตลอดห่วงโซ่อุปทาน เพื่อสร้างบรรทัดฐานสากลที่ผู้ซื้อและแบรนด์ระดับโลกเชื่อมั่น รองรับโอกาสตลาดอัญมณีโลกมูลค่ากว่า 11 ล้านล้านบาท และเมกะเทรนด์ด้านความยั่งยืนที่กำลังขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ซึ่งผู้ประกอบการไทยสามารถเข้าไปช่วงชิงได้ หากปรับตัวสู่ระบบมาตรฐานที่ยั่งยืนและตรวจสอบได้จริง

ทั้งนี้ ในปัจจุบัน GIT ได้ออกแบบกรอบมาตรฐาน เพื่อยกระดับคุณภาพและความโปร่งใสของอุตสาหกรรมอัญมณีไทยอย่างเป็นระบบ ผ่านกลไก 3 แกนหลักที่เชื่อมโยงตั้งแต่ผู้ประกอบการ ห้องปฏิบัติการ ไปจนถึงการส่งออกสู่ตลาดโลก โดยเริ่มต้นจาก GIT Standard สำหรับห้องปฏิบัติการ เป็นการสร้างพื้นฐานด้านคุณภาพ โดยยกระดับมาตรฐานการทดสอบ ตรวจวิเคราะห์ และการออกใบรับรองคุณภาพ เพื่อให้สินค้าไทยไม่เพียงมีความโดดเด่นด้านฝีมือเท่านั้น แต่ยังสามารถพิสูจน์ที่มาได้อย่างโปร่งใสด้วยระบบที่ยอมรับในระดับสากล เพิ่มศักยภาพในการสื่อสารความเชื่อมั่นให้กับทั้งผู้บริโภคและคู่ค้าทั่วโลก

GIT Due Diligence Standard สำหรับผู้ประกอบการไทย เป็นการวางกรอบธรรมาภิบาลสถานประกอบการให้ครอบคลุมแรงงานที่เป็นธรรม ความปลอดภัยของอาคาร ระบบเอกสาร และการตรวจสอบย้อนกลับ (traceability) ซึ่งถือเป็นรากฐานสำคัญในการสร้างความเชื่อมั่นให้กับตลาดภายในประเทศและภูมิภาคใกล้เคียง รวมถึงและนักท่องเที่ยวคุณภาพที่ให้ความสำคัญกับที่มาของสินค้าไทย

มาตรฐานสากลเพื่อการส่งออก เป็นการเตรียมความพร้อมผ่านโครงการบ่มเพาะสู่มาตรฐาน RJC ทั้งด้านแรงงาน แหล่งที่มา สิ่งแวดล้อม และความปลอดภัย ให้ผู้ประกอบการสามารถตอบโจทย์เงื่อนไขของคู่ค้าต่างประเทศ โดยเฉพาะการเข้าสู่มาตรฐานระดับสากลอย่าง Responsible Jewellery Council (RJC)

“ไทยมีจุดแข็งด้านฝีมือและการออกแบบที่ได้รับการยอมรับในระดับโลก แต่กลไกสำคัญที่จะปลดล็อกศักยภาพผู้ประกอบการไทยให้ก้าวสู่การแข่งขันในตลาดโลกได้มากขึ้น คือ มาตรฐาน ที่สร้างความน่าเชื่อถือเชิงระบบ ตั้งแต่แหล่งที่มาวัตถุดิบ มาตรฐานแรงงาน ความปลอดภัย ไปจนถึงสิ่งแวดล้อม โดย GIT ได้วางแผนขยายผลโครงการมาตรฐานความยั่งยืนต่อเนื่อง โดยจะทำงานร่วมกับภาคีอุตสาหกรรมและหน่วยงานรัฐ เพื่อยกระดับมาตรฐานเชิงโครงสร้างให้ครอบคลุมตั้งแต่ผู้ผลิต โรงงาน ห้องปฏิบัติการ ไปจนถึงผู้ค้าในประเทศ พร้อมเปิดให้คำปรึกษาแก่ผู้ประกอบการทุกระดับที่ต้องการประเมินช่องว่างและวางแผนพัฒนาระบบให้ตอบโจทย์คู่ค้าระดับโลกอย่างแท้จริง”นายสุเมธกล่าว

ปัจจุบัน มีรายงานของ McKinsey บริษัทที่ปรึกษากลยุทธ์ชั้นนำของโลก สะท้อนภาพชัดเจนว่าปัจจัยด้านความยั่งยืนมีอิทธิพลต่อยอดขายเครื่องประดับทั่วโลกถึง 20–30% สะท้อนพฤติกรรมผู้บริโภคยุคใหม่ที่ไม่ได้เลือกซื้อเครื่องประดับเพียงเพราะความงาม หรือคุณค่าทางใจเท่านั้น แต่ยังพิจารณาที่มาของวัตถุดิบ ความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และสิทธิมนุษยชนในกระบวนการผลิต ทำให้มาตรฐานด้านธรรมาภิบาลสากล เช่น Responsible Jewellery Council (RJC) กลายเป็นใบเบิกทางทางการค้าที่ตลาดหลักในต่างประเทศกำหนดเป็นเงื่อนไขสำคัญ

ในปี 2567 อุตสาหกรรมอัญมณีและเครื่องประดับโลก มีมูลค่ากว่า 366.79 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 11.67 ล้านล้านบาท โดยพฤติกรรมผู้บริโภคทั่วโลกกำลังเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญ จากเดิมที่เลือกซื้อเครื่องประดับเพียงเพราะความสวยงามและคุณค่าทางใจ มาสู่การให้ความสำคัญกับมาตรฐาน ความโปร่งใส และธรรมาภิบาล ซึ่งถือเป็นสัญญาณชัดเจนว่ามาตรฐานเหล่านี้ จะเป็นปัจจัยหลักในการแข่งขันและสร้างโอกาสใหม่ให้กับผู้ประกอบการ GIT จึงได้เดินหน้าจัดทำมาตรฐาน เพื่อผลักดันผู้ประกอบการไทย เตรียมความพร้อมสู่มาตรฐานสากล เพื่อให้ธุรกิจไทยเติบโตอย่างแข็งแกร่งและแข่งขันได้ทั้งในประเทศและตลาดโลก


กำลังโหลดความคิดเห็น