ผู้จัดการรายวัน 360- ไฮเออร์ปักหมุดไทยสู่ ฐานหลักเครื่องใช้ไฟฟ้าอาเซียน ล่าสุดทุ่ม 14,700 ล้าน ในเฟสแรก จากทั้งระบบโครงการรวม3เฟสมูลค่ากว่า 63,650 ล้านบาท เพิ่มโรงงานแอร์แห่งใหม่ บนนิคม WHA3 ชลบุรี กางโรดแมป 3 ปี เสิร์ฟตลาดไทย - ตปท. กว่า 12.5 ล้านเครื่อง โดยปีนี้ตั้งเป้ายอดขายเครื่องปรับอากาศภายในบ้านจะอยู่ที่ 5,500 ล้านบาท
นายโจว หยุนเจี๋ย ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ไฮเออร์ กรุ๊ป เปิดเผยว่า ประเทศไทยกำลังก้าวเข้าสู่ยุคอุตสาหกรรม New S-Curve ซึ่งเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจแห่งอนาคต โดยมีอุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้าเป็นหนึ่งในเสาหลักที่มีศักยภาพสูง ดังนั้นไฮเออร์ ในฐานะผู้นำด้านผลิตภัณฑ์และนวัตกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้าระดับโลกและแบรนด์เครื่องใช้ไฟฟ้าอันดับ 1 ของโลกติดต่อกัน 16 ปีซ้อน ขอประกาศการลงทุนมูลค่ากว่า 10,000 ล้านบาทในประเทศไทย เพื่อเปิดโรงงานผลิตเครื่องปรับอากาศแห่งใหม่ ณ จังหวัดชลบุรี ในวันนี้
ฐานผลิตเครื่องปรับอากาศดังกล่าวนี้ เพื่อรองรับทั้งตลาดในประเทศและการส่งออก ด้วยกำลังการผลิตสูงสุดกว่า 6 ล้านเครื่องต่อปี พร้อมยกระดับบทบาทของไทยให้เป็นศูนย์กลางการผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้าในอาเซียน และต่อยอดศักยภาพการแข่งขันในตลาดโลก โดยในเฟสแรกจะเริ่มเดินสายการผลิตในเดือนกันยายน พร้อมตั้งเป้า 3 ปี (2568-2570) ผลิตกว่า 12.5 ล้านเครื่อง มูลค่าราว 63,650 ล้านบาท
สำหรับโรงงานผลิตเครื่องปรับอากาศไฮเออร์แห่งที่ 2 ตั้งอยู่บนพื้นที่กว่า 324,000 ตารางเมตร ในนิคมอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเอ อีสเทิร์นซีบอร์ด 3 (WHA ESIE 3) จังหวัดชลบุรี ได้รับการออกแบบภายใต้แนวคิด Green & Sustainable Manufacturing โดยใช้เทคโนโลยีที่ช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและคาร์บอนฟุตพริ้นท์ ควบคู่กับการสร้างงานในพื้นที่กว่า 3,000 ตำแหน่งอันนำไปสู่การกระจายรายได้สู่ท้องถิ่น รวมถึงการส่งเสริมเศรษฐกิจชุมชนให้เติบโตอย่างยั่งยืน
โรงงานแห่งนี้ยังถือเป็นยุทธศาสตร์สำคัญของไฮเออร์ ในการเสริมศักยภาพการผลิตและการส่งออก รองรับดีมานด์ที่เพิ่มขึ้นทั้งในอาเซียน ตะวันออกกลาง และตลาดโลก พร้อมสร้างห่วงโซ่อุปทานที่แข็งแกร่งภายในประเทศ ตั้งแต่การผลิตชิ้นส่วนจนถึงการประกอบขั้นสุดท้าย ช่วยลดต้นทุนการนำเข้าและเพิ่มความยืดหยุ่นในการแข่งขัน เพื่อพัฒนาให้เป็นฐานนวัตกรรมด้านเครื่องปรับอากาศอัจฉริยะในการตอบโจทย์ผู้บริโภคยุคใหม่
“การลงทุนครั้งใหญ่นี้จึงไม่เพียงสะท้อนความเชื่อมั่นของไฮเออร์ที่มีต่อเศรษฐกิจไทย แต่ยังตอกย้ำวิสัยทัศน์ในการยกระดับประเทศไทยให้เป็นฐานการผลิตเชิงยุทธศาสตร์ของอาเซียน ที่เชื่อมโยงครบทั้งห่วงโซ่อุปทาน การผลิต การวิจัยและพัฒนา ไปจนถึงการส่งออกสู่ตลาดโลก อีกทั้งยังเป็นหมุดหมายสำคัญของความร่วมมือไทย–จีน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในโอกาสครบรอบ 50 ปีความสัมพันธ์ทางการทูตในปีนี้ ซึ่งสะท้อนถึงความมั่นใจของนักลงทุนจีนต่อศักยภาพ ความมั่นคง และบทบาทเชิงยุทธศาสตร์ของไทยบนเวทีเศรษฐกิจโลก” นายโจว กล่าว
การลงทุนในโรงงานแห่งใหม่นี้สอดรับกับยุทธศาสตร์ S-Curve และนโยบาย Thailand 4.0 ด้วยการยกระดับสู่มาตรฐานการผลิตใหม่ ผ่านเทคโนโลยี Smart Manufacturing และระบบจัดการที่ทันสมัย ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต ลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และขับเคลื่อนอุตสาหกรรมสีเขียว (Green Industry)
โดยวางแผนการผลิตไว้เป็น 3 เฟส คือ 1.เฟสแรกจะเริ่มเดินสายการผลิตเครื่องปรับอากาศในเดือนกันยายน 2568 จำนวน 3 ล้านเครื่อง มูลค่าประมาณ 14,700 ล้านบาท 2.เฟสสองขยายกำลังผลิตเป็น 3.5 ล้านเครื่อง มูลค่า 17,800 ล้านบาทในปี 2569 และ 3.ขยายกำลังผลิตแตะระดับสูงสุดที่ 6 ล้านเครื่อง มูลค่าราว 31,150 ล้านบาท ภายในปี 2570 ซึ่งจะทำให้โรงงานแห่งนี้กลายเป็นหนึ่งในฐานการผลิตเครื่องปรับอากาศที่ใหญ่ที่สุดของภูมิภาค และมีบทบาทสำคัญในการรองรับความต้องการทั้งในประเทศและการส่งออกไปยังตลาดโลก
นายโจว กล่าวต่อว่า ไฮเออร์ยังคงเดินหน้ากลยุทธ์เชิงรุกทั้งการขยายช่องทางการจัดจำหน่ายให้ครอบคลุมทุกเซกเมนต์ การพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์สมาร์ทยุคใหม่ ตั้งเป้าในปี 2568 ยอดขายเครื่องปรับอากาศภายในบ้านจะอยู่ที่ 5,500 ล้านบาท และเครื่องปรับอากาศเชิงพาณิชย์ 1,108 ล้านบาท พร้อมเดินหน้าสู่การชิงส่วนแบ่งตลาดกว่า 13% และเป็นแบรนด์ยอดขายอันดับ 1 ของโลก ตอกย้ำบทบาทผู้นำอุตสาหกรรมเครื่องปรับอากาศทั้งในระดับภูมิภาคและระดับโลก.
“การเข้ามาลงทุนของไฮเออร์ยังตอกย้ำให้เห็นภาพลักษณ์ด้านความเชื่อมั่นประเทศไทยที่มีจุดแข็งทั้งการมีแรงงานฝีมือที่ปรับตัวได้รวดเร็ว โครงสร้างพื้นฐานด้านโลจิสติกส์ที่เชื่อมต่อได้ครบทั้งภูมิภาค และระบบนิเวศทางอุตสาหกรรมที่สามารถรองรับการเติบโตของผู้ประกอบการทุกระดับ ตั้งแต่ซัพพลายเออร์ท้องถิ่นไปจนถึงการวิจัยและพัฒนา ถือเป็น ‘Innovation Ecosystem’ ที่ความแตกต่างจากในภูมิภาค การลงทุนครั้งนี้ยังช่วยเสริมแบรนด์ ‘Made in Thailand’ ให้มีความแข็งแกร่งขึ้น โดยสะท้อนคุณภาพ มาตรฐาน และความน่าเชื่อถือที่สอดคล้องกับตลาดและผู้บริโภค
นอกจากนี้ ไฮเออร์มีแผนการลงทุนระยะยาวที่ไม่ได้มุ่งเพียงแค่การสร้างโรงงาน แต่พร้อมต่อยอดสู่การพัฒนาระบบการผลิตครบวงจรในรูปแบบ Smart Factory ใช้ระบบอัตโนมัติและเทคโนโลยีดิจิทัลขั้นสูง ควบคู่กับการจัดตั้งศูนย์นวัตกรรมและ R&D เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและคุณภาพสินค้า