สนข.สรุปศึกษา ‘แลนด์บริดจ์’ ลงทุนกว่า 9.97 แสนล้านบาท ปรับเฟสพัฒนาเหลือ 3 ช่วง จ้างผู้เชี่ยวชาญระดับโลกประเมินตู้สินค้า 2 ปีแรก 4 ล้านทีอียู “มนพร” ฟังทุกความเห็น ดัน พ.ร.บ. SEC เข้า ครม. มีกองทุนเยียวยาผลกระทบประชาชนในพื้นที่ คาดประมูลปี 69 เปิดปี 73
วันที่ 25 สิงหาคม 2568 นางมนพร เจริญศรี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม เป็นประธานเปิดการสัมมนาสรุปผลการศึกษาโครงการศึกษาความเหมาะสม ออกแบบเบื้องต้น ประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมและวิเคราะห์รูปแบบโมเดลการพัฒนาการลงทุน (Business Development Model) โครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคมขนส่งเพื่อพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคใต้เพื่อเชื่อมโยงการขนส่งระหว่างอ่าวไทยและอันดามัน (โครงการแลนด์บริดจ์) ที่จัดขึ้นที่กรุงเทพฯ เพื่อนำเสนอสรุปผลการศึกษาข้อมูลรายละเอียดของโครงการ พร้อมรับฟังความคิดเห็นและข้อเสนอแนะจากทุกภาคส่วน โดยมีตัวแทนจากผู้แทนหน่วยงานภาครัฐ ภาคธุรกิจเอกชน ผู้นำชุมชน และประชาชนในพื้นที่เข้าร่วมการสัมมนา
นางมนพร เจริญศรี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม กล่าวว่า ที่ผ่านมา สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร หรือ สนข. ดำเนินการศึกษา ออกแบบโครงการแลนด์บริดจ์ และมีการจัดเวทีสัมมนา รับฟังความคิดเห็นทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องตลอด 4 ปี (2564-2568) ครั้งนี้ เป็นการสรุปการศึกษา ข้อเสนอแนะ ข้อห่วงใย ข้อกังวล รวมถึงส่วนที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วย สำหรับการดำเนินโครงการขนาดใหญ่ ซึ่งกรณีประชาชนในพื้นที่ได้รับผลกระทบ เช่น กระทบจากการพัฒนาพื้นที่หลังท่า การทำประมงพื้นบ้านในพื้นที่พะโต๊ะ เป็นต้น จะมีแผนรองรับ จัดที่ดินให้ประชานทำกินได้ต่อไป และจะมีการชดเชย เยียวยา กรณีการสูญเสียอาชีพ ซึ่งจะกำหนดให้ผู้เข้ามาลงทุน ส่วนเรื่องผลกระทบสิ่งแวดล้อม จะดำเนินการตามข้อกำหนดของ สผ.อย่างเคร่งครัด
ขณะที่ร่างพระราชบัญญัติระเบียงเขตเศรษฐกิจภาคใต้ (Southern Economic Corridor: SEC) นั้นจะมีประเด็นเรื่องเงินกองทุนที่จะเข้ามาชดเชยกรณีอาชีพและพื้นที่ทำกินของประชาชนที่ได้รับผลกระทบ ดังนั้น กรมบัญชีกลาง กระทรวงการคลัง ได้มีการพิจารณาประเด็นดังกล่าว ซึ่งทราบว่าเสร็จแล้วเตรียมส่งกลับกระทรวงคมนาคม ซึ่งอยู่ในกรอบเวลา เสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) ในเดือน ธ.ค. 68 จากนั้นจะเสนอที่ประชุมสภาผู้แทนราษฏรพิจารณา
“นักลงทุนต่างชาติ ทั้งยุโรป เอเชีย ตะวันออกกลาง ให้ความสนใจโครงการแลนด์บริดจ์ ซึ่ง สนข.ศึกษา ออกแบบ โดยอาศัยความได้เปรียบทางภูมิศาสตร์ของประเทศไทยที่ตั้งอยู่ใจกลางคาบสมุทรอินโดจีน สามารถเชื่อมต่อทะเลได้ทั้งฝั่งอ่าวไทย และฝั่งอันดามัน เป็นเส้นทางทางเลือกในการขนส่งสินค้าทางทะเล เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันและศักยภาพทางการค้าของประเทศไทย”
นายปัญญา ชูพานิช ผู้อำนวยการ สนข.กล่าววว่า มีการสัมมนาสรุปผลการศึกษาโครงการแลนด์บริดจ์แล้ว 2 ครั้งที่จังหวัดระนองเมื่อวันที่ 21 สิงหาคม 2568 และที่จังหวัดชุมพรเมื่อวันที่ 22 สิงหาคม 2568 ซึ่งพบว่าประชาชนส่วนใหญ่เห็นด้วยกับโครงการ แต่ก็มีประชาชนบางกลุ่มที่ได้รับผลกระทบจากการดำเนินโครงการ และได้ร่วมแสดงความคิดเห็น ข้อเสนอแนะ และข้อห่วงกังวลเกี่ยวกับการพัฒนาโครงการแลนด์บริดจ์ในเรื่องต่างๆ เช่น เรื่องผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมชายฝั่งทะเล ผลกระทบต่อวิถีชีวิตชุมชน การทำประมงพื้นบ้าน และการขุดลอกและถมทะเลเพื่อทำท่าเรือ โดยประชาชนส่วนใหญ่ต้องการรับทราบมาตรการในการแก้ปัญหา และมาตรการเยียวยาจากภาครัฐว่าจะเป็นอย่างไร
สนข.ได้ลงพื้นที่รับฟังความคิดเห็นตลอดระยะเวลา 4 ปี มีการจัดเวทีรับฟังความคิดเห็นอย่างเป็นทางการมากกว่า 60 เวที โดย สนข.ได้รับทราบข้อกังวลทั้งหมดจากประชาชน และได้นำผลการรับฟังความคิดเห็นทั้งหมดมากำหนดมาตรการในการป้องกัน และเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบอย่างครบถ้วน โดยยึดหลักการพัฒนาโครงการให้เกิดความยั่งยืน เพื่อให้โครงการสามารถอยู่ร่วมกับชุมชนควบคู่กับการดูแลด้านสิ่งแวดล้อม โดยมุ่งส่งเสริมและสนับสนุนการประกอบอาชีพของคนท้องถิ่นผ่านกิจกรรมชุมชนสัมพันธ์และกิจกรรมเพื่อสังคม (CSR) ในการศึกษาครั้งนี้มีการกำหนดให้ผู้บริหารโครงการต้องทำการจัดตั้งกองทุน โดยให้ผู้ประกอบการในพื้นที่สมทบเงินเข้ากองทุน และนำเงินในกองทุนเพื่อไปใช้ในการเยียวยาประชาชนที่ได้รับผลกระทบ และส่งเสริมให้ชุมชนมีคุณภาพชีวิตความเป็นอยู่ที่ดียิ่งขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน ก่อนมีการพัฒนาโครงการ
@จ้างที่ปรึกษาระดับโลก ยันแลนด์บริดจ์ มีดีมานด์ตู้สินค้า
ทั้งนี้ จากที่ สนข.ได้จ้างบริษัทที่ปรึกษา วงเงิน 68 ล้านบาท เมื่อปี 2564 เพื่อศึกษาออกแบบเบื้องต้นและประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม ซึ่งได้มีผลการศึกษาในระดับหนึ่ง และในการศึกษาได้มีการจ้าง บริษัท Rayal HaskoningDHV จากประเทศเนเธอร์แลนด์ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญในการออกแบบท่าเรือระดับโลก มาทำการศึกษาและให้ความเห็นเพิ่มเติมในด้านความเป็นไปได้และความคุ้มค่าในการลงทุน ซึ่งจากการศึกษาล่าสุดได้รับการยืนยันว่าโครงการนี้มีความเป็นไปได้โดยมีผลตอบแทนการลงทุนถึง 11% ขณะที่ประเมินความเป็นไปได้ด้านการขนส่งว่าจะมีปริมาณตู้สินค้าในช่วงสามปีแรกถึง 4 ล้านตู้ต่อปีและสามปีต่อไปอีก 4 ล้านตู้ต่อปี และจะเริ่มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องเป็น 14 ล้านตู้ต่อปีในปีที่ 25 จากนั้นจะขยายเป็น 20 ล้านตู้ต่อปีจนหมดอายุสัมปทาน
ขณะที่ผลการศึกษาล่าสุดมีการปรับแผนการลงทุนใหม่เพื่อให้เหมาะสมกับสภาพปัจจุบันและแนวโน้มทิศทางของเศรษฐกิจโลก โดยมีมูลค่าลงทุนรวม 997,680.1 ล้านบาท แบ่งการพัฒนาออกเป็น 3 เฟส โดยเฟส 1/1 มีมูลค่าลงทุนรวม 617,067 ล้านบาท แบ่งเป็นค่าลงทุนท่าเรือ 177,466.6 ล้านบาท ค่าลงทุนพื้นที่เปลี่ยนรูปแบบการขนส่งสินค้า(SRTO) 35,311.1 ล้านบาทค่าลงทุนเส้นทางเชื่อมโยงท่าเรือ ได้แก่ มอเตอร์เวย์และรถไฟมูลค่า 219,502 ล้านบาท การลงทุนพื้นที่อเนกประสงค์มูลค่า 42,305.4 ล้านบาทและมูลค่าการลงทุนพัฒนาพื้นที่เชิงพาณิชย์ 142,482 ล้านบาท
การพัฒนาเฟส 1/2 มีมูลค่าลงทุนรวม 174,963 ล้านบาท แบ่งเป็นค่าลงทุนท่าเรือ 109,596.2 ล้านบาท ค่าลงทุนพื้นที่เปลี่ยนรูปแบบการขนส่งสินค้า (SRTO) 20,756.6 ล้านบาท ค่าลงทุนเส้นทางเชื่อมโยงท่าเรือ ได้แก่ มอเตอร์เวย์และรถไฟ มูลค่า 36,561 ล้านบาท การลงทุนพื้นที่อเนกประสงค์มูลค่า 8,050.1 ล้านบาท
การพัฒนาเฟส 1/3 มีมูลค่าลงทุนรวม 205.649.7 ล้านบาท แบ่งเป็นค่าลงทุนท่าเรือ 147,484.5 ล้านบาท ค่าลงทุนพื้นที่เปลี่ยนรูปแบบการขนส่งสินค้า (SRTO) 26,712.4 ล้านบาท ค่าลงทุนเส้นทางเชื่อมโยงท่าเรือ ได้แก่ มอเตอร์เวย์และรถไฟ มูลค่า 15,410 ล้านบาท การลงทุนพื้นที่อเนกประสงค์มูลค่า 16,042.8 ล้านบาท
ขณะที่ปรับการคาดการณ์ปริมาณการขนส่งสินค้าที่ท่าเรือฝั่งระนองและชุมพรใหม่ เป็นช่วง 2 ปีแรก เปิดบริการปี 2573-2574 มีปริมาณสินค้าท่าเรือระนอง 3.75 ล้านทีอียู ท่าเรือชุมพร 3.765 ล้านทีอียู , ช่วง 2 ปีต่อไป ปี 2575-2576 มีปริมาณสินค้าท่าเรือระนอง 8.132 ล้านทีอียู ท่าเรือชุมพร 8.067 ล้านทีอียู, ช่วง18 ปีต่อไป (ปี 2578-2596) มีปริมาณสินค้าท่าเรือระนอง 14.092 ล้านทีอียู ท่าเรือชุมพร 13.835 ล้านทีอียู และระยะที่ 2 ช่วงปี 2597-2622 มีปริมาณสินค้าท่าเรือระนอง 20 ล้านทีอียู ท่าเรือชุมพร 20 ล้านทีอียู
นายปัญญากล่าวถึงความคืบหน้าการจัดทำ พ.ร.บ. SEC ว่า อยู่ในขั้นตอนเสนอ ครม. จากนั้นเสนอสภาผู้แทนราษฎรตามขั้นตอน คาดใช้เวลาอีก 5-6 เดือน ในขณะเดียวกัน สนข.ได้จัดทำร่าง RFP เพื่อเตรียมประมูล คาดว่าจะมีการเปิดรับฟังความเห็นนักลงทุนในปี 69 และเปิดประมูล ในปี 69 ใช้รูปแบบลงทุน PPP net Cost รัฐลงทุนเรื่องค่าเวนคืนที่ดิน ส่วนที่เหลือเอกชนลงทุนทั้งหมด ระยะเวลาสัมปทาน 50 ปี