ปตท.เผยไตรมาส 2/2568 กำไร 21,533 ล้านบาท ลดลง 39.3% เมื่อเทียบจากช่วงเดียวกันปีก่อน ส่วนงวด 6 เดือนปี 68 กำไรสุทธิ 44,848 ล้านบาท ลดลง 30.4% จากช่วงดียวกันปีก่อน เนื่องจาก EBITDA ที่ลดลง รับรู้ผลขาดทุนสต๊อกนํ้ามันสุทธิกับมูลค่าสุทธิที่จะได้รับของสินค้าคงเหลือของกลุ่มธุรกิจการกลั่นปรับลดลง แต่บริษัทมีเงินสดและเงินลงทุนระยะสั้นอยู่ในระดับสูงถึง 413,902 ล้านบาท ณ สิ้นไตรมาส 2/68
นางสาวภัทรลดา สง่าแสง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารการเงิน บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) หรือ PTT เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานไตรมาส 2/2568 บริษัทมียอดขาย 676,754 ล้านบาท ลดลง 17.7% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน และลดลง 3.4% จากไตรมาสก่อน โดยมีกำไรสุทธิ 21,533 ล้านบาท ลดลง 39.3% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน และลดลง 7.6% จากไตรมาสก่อน
ส่วนงวด 6 เดือนแรกของปีนี้บริษัทมียอดขาย 1,376,977 ล้านบาท ลดลง 14.2% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน และมีกำไรสุทธิ 44,848 ล้านบาท ลดลง 30.4% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน
โดยหลักจากกลุ่มธุรกิจปิโตรเคมีและการกลั่น โดยธุรกิจการกลั่นลดลง เนื่องจากไตรมาส2/2568 มีผลขาดทุนสต๊อกนํ้ามันสุทธิกับมูลค่าสุทธิที่จะได้รับของสินค้าคงเหลือ ทำให้ ปตท. และบริษัทย่อยมีผลขาดทุนประมาณ 7,200 ล้านบาท ขณะที่ในไตรมาส 1/2568 มีกําไรประมาณ 1,500 ล้านบาท แม้ว่ากําไรขั้นต้นจากการกลั่น (Market GRM) และปริมาณขายเพิ่มขึ้น ประกอบกับธุรกิจปิโตรเคมีมีผลการดําเนินงานลดลง โดยหลักจากกลุ่มโอเลฟินส์ จากต้นทุนวัตถุดิบที่ปรับเพิ่มขึ้น แม้ว่าปริมาณขายเพิ่มขึ้น นอกจากนี้กลุ่มธุรกิจการค้าระหว่างประเทศที่ผลการดําเนินงานปรับลดลง จากการรับรู้ขาดทุนจากการ Mark-to-market ของสินค้าระหว่างการขนส่งและส่วนต่างของราคาซื้อขายผลิตภัณฑ์ที่ปรับตัวลดลง
ขณะที่กลุ่มธุรกิจนํ้ามันและการค้าปลีกมีผลการดําเนินงานลดลงเช่นกัน โดยหลักจากกําไรขั้นต้นเฉลี่ยต่อลิตรของนํ้ามันอากาศยาน และนํ้ามันเบนซินปรับลดลง กลุ่มธุรกิจก๊าซธรรมชาติมีผลการดําเนินงานลดลง โดยหลักจากธุรกิจโรงแยกก๊าซฯ ที่มีกําไรขั้นต้นลดลงจากราคาขายเฉลี่ยที่ปรับลดลงตามราคาอ้างอิง แม้ว่าปริมาณขายรวมเพิ่มขึ้นตามกล่าวข้างต้น ขณะที่ธุรกิจจัดหาและค้าส่งก๊าซฯ มีกําไรขั้นต้นเพิ่มขึ้น จากต้นทุนก๊าซฯ ที่ปรับลดลงตามราคา Pool Gas
ดังนั้นในไตรมาส 2/2568 กำไรสุทธิลดลง โดยหลักจาก EBITDA ที่ลดลง แม้ว่าในไตรมาส 2/2568 มีการรับรู้รายการที่ไม่ได้เกิดขึ้นประจํา (Non-recurring Items) สุทธิภาษีตามสัดส่วนของ ปตท. เป็นกําไรประมาณ 4,200 ล้านบาท โดยหลักมาจาก บริษัท ไทยออยล์ จํากัด (มหาชน) หรือ TOP ที่มีการรับรู้ส่วนแบ่งกําไรของบริษัทร่วมจากการซื้อกิจการในราคาตํ่ากว่ามูลค่ายุติธรรมของการเข้าซื้อหุ้นและควบรวมโรงกลั่นนํ้ามันของกลุ่มเชลล์ในสิงคโปร์ ขณะที่ในไตรมาส 1/2568 รับรู้เป็นขาดทุนประมาณ 200 ล้านบาท โดยหลักจากส่วนแบ่งผลขาดทุนจากการด้อยค่าสุทธิกับการกลับรายการด้อยค่าเงินลงทุนของบริษัท อูเบะ เคมิคอลส์ (เอเชีย) จํากัด (มหาชน) หรือ UCHA ของบริษัท ไออาร์พีซี จํากัด (มหาชน) หรือ IRPC
อย่างไรก็ตาม จากการปรับแผนการลงทุน โดยมีกลยุทธ์มุ่งเน้นธุรกิจที่มีอยู่เดิม รวมทั้งเสริมสร้างความแข็งแกร่งภายในกลุ่ม ภายใต้นโยบายการเงินที่เข้มงวดทําให้ฐานะทางการเงินของกลุ่ม ปตท.ยังคงมีความแข็งแกร่งอย่างต่อเนื่อง โดยบริษัทมีเงินสดและเงินลงทุนระยะสั้นอยู่ในระดับสูงที่ 413,902 ล้านบาท ณ 30 มิถุนายน 2568 ขณะที่ระดับหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยลดลง ตามกลยุทธ์การลดภาระหนี้ที่ดําเนินมาอย่างต่อเนื่อง
นอกจากนี้ กลุ่ม ปตท.ยังคงเดินหน้าขยายการลงทุนในโครงการสําคัญต่างๆ อย่างต่อเนื่อง อาทิ โครงการของบริษัท ปตท. สํารวจและผลิตปิโตรเลียม จํากัด (มหาชน) หรือ PTTEP ควบคู่ไปกับการดําเนินโครงการซื้อหุ้นคืน เพื่อเพิ่มมูลค่าตอบแทนให้แก่ผู้ถือหุ้น ซึ่งสะท้อนถึงความมุ่งมันในการสร้างความยั่งยืนทางการเงินในระยะยาว