xs
xsm
sm
md
lg

PTTGC ไตรมาส 2/68 ขาดทุนพุ่ง 3,616 ล้านบาท

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



PTTGC เผยไตรมาส 2/2568 ขาดทุนสุทธิ 3,616 ล้านบาท เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่กำไรสุทธิ 1,846 ล้านบาท และไตรมาส 1/2568 ที่ขาดทุนสุทธิ 2,567 ล้านบาท เหตุขาดทุนจากสต๊อกน้ำมัน และการปรับมูลค่าสินค้าคงเหลือ NRV เป็นขาดทุน 1,891 ล้านบาท

นายทิติพงษ์ จุลพรศิริดี รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานการเงินและบัญชี บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ PTTGC เปิดเผยว่า ผลประกอบการไตรมาส 2/2568 บริษัทฯ มีรายได้จากการขายรวม 133,381 ล้านบาท ใกล้เคียงกับไตรมาส 1/2568 โดยปรับขึ้นจากราคาผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมตามทิศทางตลาดโลกหักกลับด้วยราคาผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีที่ยังคงมีความท้าทาย
จากปัจจัยภายนอก ทั้งความกดดันจากสภาวะเศรษฐกิจที่พื้นตัวช้า ประกอบกับความไม่แน่นอนจากปัจจัยด้านภูมิรัฐศาสตร์ และความตึงเครียดทางการค้าระหว่างประเทศด้วยการใช้มาตรการทางภาษีตอบโต้ของสหรัฐอเมริกาและประเทศคู่ค้า ซึ่งส่งผลกดดันต่อต้นทุนและความต้องการในการบริโภค อย่างไรก็ตามรายได้จากการขายลดลง 20% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนจากการปรับลดลงของราคาน้ำมันดิบที่ส่งผลให้ราคาผลิตภัณฑ์ในกลุ่มปิโตรเลียมสำเร็จรูปปรับตัวลดลง

ส่งผลให้ไตรมาส 2/2568 บริษัทฯ ขาดทุนสุทธิ 3,616 ล้านบาท เปรียบเทียบจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 1,846 ล้านบาท และไตรมาส 1/2568 ขาดทุนสุทธิ 2,567 ล้านบาท

โดยในไตรมาส 2/2568 บริษัทฯ มี Adjusted EBITDA อยู่ที่ 6,083 ล้านบาทปรับเพิ่มขึ้นจากไตรมาส 1/2568 ประมาณ 13% จากมาตรการควบคุมค่าใช้จ่ายและมุ่งเน้นประสิทธิภาพของบริษัทฯ ที่ยังคงดำเนินการอย่างต่อเนื่อง กลุ่มผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมปรับตัวดีขึ้นจากส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์ปรับเพิ่มขึ้นในทุกผลิตภัณฑ์ ทำให้ GRM ปรับเพิ่มจาก 3.4 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรลในไตรมาส 1/2568 เป็น 5.3 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรลในไตรมาส 2/2568 กลุ่มผลิตภัณฑ์อะโรเมติกส์ปรับเพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์พาราไซลีนปรับตัวดีขึ้นจากไตรมาสก่อน กอปรกับส่วนต่างผลิตภัณฑ์ผลพลอยได้อย่างคอนเดนเสทรีซิดิว แนฟทาและก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) ปรับตัวดีขึ้นเป็นหลัก หักกลบด้วยส่วนต่างผลิตภัณฑ์เบนซีนที่ปรับตัวลดลงในไตรมาสนี้ ผลประกอบการกลุ่มผลิตภัณฑ์โอเลฟินส์และพอลิเมอร์ปรับลดลงในไตรมาสนี้ เนื่องจากโรงโอเลฟินส์หน่วยที่ 2/1 ได้หยุดซ่อมบำรุงในไตรมาสนี้

อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ มีความได้เปรียบด้านต้นทุนของโรงโอเลฟินส์ โดยในไตรมาสนี้บริษัทฯ ได้รับปริมาณก๊าซอีเทนที่ใช้ในการผลิตด้วยสัดส่วนที่ใกล้เคียงกับไตรมาสก่อน ด้านอัตรากำลังการผลิตของโรงโอเลฟินส์ในไตรมาส 2/2568 เฉลี่ยอยู่ที่ 80% ด้านราคาของกลุ่มผลิตภัณฑ์พอลิเมอร์ปรับลดลงจากไตรมาสก่อนเล็กน้อยท่ามกลางเศรษฐกิจที่ชะลอตัว

ทั้งนี้ มาตรการกีดกันทางการค้าของสหรัฐอเมริกาส่งผลกระทบต่อความกังวลของอุปสงค์ปลายทางของผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมี รวมถึงอุปทานส่วนเกินที่ทำให้ผู้ผลิตในตลาดยังควบคุมระดับอัตรากำลังการผลิตอย่างต่อเนื่อง สำหรับผลประกอบการของกลุ่มผลิตภัณฑ์เคมีภัณฑ์ชนิดพิเศษปรับตัวดีขึ้น โดยหลักจากการที่ Vencorex France และ Vencorex TDI เข้าสู่กระบวนการชำระบัญชีและสิ้นสุดการเป็นบริษัทย่อยของบริษัทฯ ตั้งแต่วันที่ 13 พฤษภาคม 2568

บริษัทฯ รับรู้รายการพิเศษจากปัจจัยที่ไม่สามารถควบคุมได้จากการเปลี่ยนแปลงราคาตามสภาวะตลาด ได้แก่ ขาดทุนจากสต๊อกน้ำมัน (Stock loss) และการปรับมูลค่าสินค้าคงเหลือให้เท่ากับมูลค่าสุทธิที่จะได้รับ (NRV) สุทธิเป็น
ขาดทุน 1,891 ล้านบาท ขาดทุนจากตราสารอนุพันธ์เพื่อประกันความเสี่ยงด้านราคาสินค้าโภคภัณฑ์ 32 ล้านบาท กำไรสุทธิจากอัตราแลกเปลี่ยนและตราสารอนุพันธ์ทางการเงินรวม 370 ล้านบาท รวมถึงบริษัทฯ รับรู้กำไรพิเศษจากผลต่างสุทธิจากการสิ้นสุดการเป็นบริษัทย่อย (Deconsolidation) ของ Vencorex France และ Vencorex TDI 1,499 ล้านบาท ส่วนแบ่งขาดทุนจากเงินลงทุน 17 ล้านบาท ปรับตัวดีขึ้นจากไตรมาสก่อน


กำลังโหลดความคิดเห็น