กกร.เพิ่ม GDP ปี 68โต 1.8-2.2% หลังภาษีทรัมป์เหลือ 19% ห่วง ศก.ครึ่งปีหลังวูบจากการส่งออกแผ่วลง และมีความผันผวนมากขึ้น ระบุไทยต้องเร่งเจรจาสหรัฐฯ ประเด็นที่เกี่ยวข้องกับภาษีสินค้า transshipment และสัดส่วน local content ด้าน ส.อ.ท.เร่งสำรวจ 47 กลุ่มอุตฯ เบื้องต้นพบว่า 17 กลุ่มมีสัดส่วน local content มากกว่า 40% ห่วงสหรัฐฯบีบใช้ local content แก้ปัญหาการสวมสิทธิ์
นายผยง ศรีวณิช ประธานกรรมการสมาคมธนาคารไทย เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) เปิดเผยว่า กกร.ปรับประมาณการเศรษฐกิจไทยในปี 2568 ขยายตัวเพิ่มขึ้นที่ 1.8-2.2% จากเดิม 1.5-2.0% ส่วนการส่งออกมีแนวโน้มขยายตัว 2-3% สูงกว่าประมาณการเดิมเช่นกัน เนื่องจากสหรัฐฯ กำหนดภาษีนำเข้าไทยที่ 19% แทน 36% ทำให้ไทยไม่เสียเปรียบประเทศเพื่อนบ้าน แต่หลังจากนี้ไทยยังต้องให้ความสำคัญต่อรายละเอียดโดยเฉพาะประเด็นที่เกี่ยวข้องกับภาษีสินค้า transshipment และการกำหนดสัดส่วน local content ที่ต้องมีการเจรจาสหรัฐฯต่อไป
ทั้งนี้ ประเทศไทยต้องเร่งปรับตัวรับมือทั้งในระยะสั้น และการเปลี่ยนผ่านในระยะข้างหน้า ในระยะสั้นการแข่งขันด้านราคาจะเพิ่มขึ้นทั้งสินค้าที่ไทยส่งออกและสินค้าที่ขายในประเทศที่จะแข่งขันกับสินค้าที่ไทยเปิดตลาดนำเข้าเพิ่มขึ้น ซึ่งจะกระทบกลุ่มที่มี Margin ต่ำ รวมทั้งต้องเร่งสำรวจการใช้ Local Content เพื่อลดความเสี่ยงภาษี transshipment รวมถึงบังคับใช้กฎหมายศุลกากร และการตรวจสอบมาตรฐานสินค้าที่ขายในประเทศอย่างมีประสิทธิภาพ ขณะที่นโยบายการค้าของสหรัฐฯ ครั้งนี้ทำให้ไทยตื่นตัวใช้โอกาสนี้ในการปรับตัวเพื่อสร้างความสามารถในการแข่งขันในระยะยาวของภาคเอกชน โดยเฉพาะ SMEs ทั้งการปรับโครงสร้างอุตสาหกรรม กำหนด Priority Sectors ให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ของประเทศ ยกระดับกระบวนการผลิตตลอดห่วงโซ่อุปทานและอุตสาหกรรมต้นน้ำเพื่อเพิ่ม local content เพิ่ม Productivity ลดต้นทุน และยกระดับทักษะแรงงานการจ้างงานของแรงงานไทยในประเทศ แรงงานต่างด้าว และมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจที่แท้จริงของประเทศ ซึ่งต้องอาศัยความร่วมมืออย่างใกล้ชิดระหว่างภาครัฐและภาคเอกชน
สำหรับเศรษฐกิจโลกมีทิศทางดีขึ้น หลังสหรัฐฯ ประกาศข้อตกลงด้านภาษีกับหลายประเทศ อัตราภาษีศุลกากรส่วนใหญ่ปรับลดลงกว่าที่สหรัฐฯ ประกาศเมื่อเดือนเมษายน โดยเฉพาะสำหรับประเทศในเอเชียและอาเซียน ประมาณการเศรษฐกิจโลกปี 2568 โดย IMF ปรับเพิ่มเป็นเติบโต 3% จากเดิม 2.8% ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในอดีตที่อยู่ประมาณ 3.5%
ขณะที่เศรษฐกิจไทยในครึ่งปีหลังมีแนวโน้มชะลอตัว จากการส่งออกแผ่วลงหลังหมดปัจจัยชั่วคราวจากการเร่งส่งออก การแข่งขันด้านราคาที่มากขึ้น ค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้น รวมถึงปัญหาเศรษฐกิจนอกระบบ และกำลังซื้อของผู้บริโภคสหรัฐฯ ที่ลดลงจากเงินเฟ้อ ส่วนรายได้จากการท่องเที่ยวชะลอตามจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติชะลอตัวรวมทั้งผลกระทบจากปัจจัยความขัดแย้งไทย-กัมพูชา
แนวโน้มเศรษฐกิจไตรมาสสุดท้ายของปีและต้นปี 2569 อาจมีความผันผวนสูง โดยเฉพาะภาคส่งออกที่จะได้รับผลกระทบจากภาษีสหรัฐฯ ชัดเจน และการแข่งขันที่สูงขึ้นจากประเทศคู่แข่ง ซึ่งแตกต่างกันในแต่ละประเภทสินค้าและการจัดเก็บ Stock คงค้างที่ไม่เท่ากัน
นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ให้ความสำคัญเรื่องการสวมสิทธิ์ (transshipment) จำเป็นต้องมีข้อมูลอุตฯต่างๆ มีสัดส่วนการใช้วัตถุดิบในประเทศหรือ local content เท่าไร และสามารถเพิ่มการใช้ local content ได้เท่าไร ซึ่งแน่นอนสหรัฐฯ ต้องการเพิ่มสัดส่วน local content สูงเพื่อไม่ให้มีการสวมสิทธิ์
ดังนั้น การมีข้อมูลที่ชัดเจนที่ถูกต้องเพื่อใช้ในการเจรจามีความสำคัญมากเพื่อให้หลุดพ้นประเด็นภาษี transshipment ส.อ.ท.จึงดำเนินการสำรวจ 47 กลุ่มอุตสาหกรรมเกี่ยวกับสัดส่วน local content ได้รับคำตอบมา 20 กว่ากลุ่มอุตสาหกรรม พบว่า 17 กลุ่มอุตสาหกรรม มี local content มากกว่า 40% เช่น ไม้อัด/ไม้อัดบาง ยานยนต์ อัญมณี ฯลฯ ส่วนกลุ่มอุตฯ ที่มีสัดส่วนใช้ local content น้อย ได้แก่ ยา เครื่องใช้ไฟฟ้า อิเล็กทรอนิกส์ เหล็ก โรงกลั่นและปิโตรเคมี เป็นต้น
นายผยงกล่าวว่า กกร.ดห็นว่าไทยยังขาดข้อมูลสำคัญด้านโครงสร้างการผลิตรายอุตสาหกรรม เช่น การใช้วัตถุดิบขั้นต้นและขั้นกลางในประเทศ รวมถึง Regional Value Content ซึ่งภาคเอกชนได้เริ่มสำรวจและเก็บข้อมูลพื้นฐาน เพื่อให้สามารถปฏิบัติได้ตามเงื่อนไขการส่งออกสินค้าไปยังสหรัฐฯ อย่างไรก็ตาม เพื่อให้มีฐานข้อมูลที่ครบถ้วนและเชื่อถือได้ จำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือจากภาครัฐ และหน่วยงานของรัฐที่รับผิดชอบเรื่องนี้โดยตรง เพื่อการตัดสินใจและเจรจาภายใต้การค้าโลกรูปแบบใหม่ (New trade paradigm) บทบาทของไทยในอาเซียน สร้างโอกาสให้ผู้ประกอบการไทยในเวทีการค้าโลก
สำหรับกรอบประมาณการเศรษฐกิจปี 2568 ของ กกร. ณ ม.ค.-เม.ย. 68 แบ่งเป็น GDP 2.4- 2.9%, ส่งออก 1.5-2.5% และเงินเฟ้อ 0.8-1.2% ส่วนเดือน พ.ค. 68 แบ่งเป็น GDP 2.0-2.2%, ส่งออก 0.3-0.9% และเงินเฟ้อ 0.5-1.0% ขณะที่ เดือน มิ.ย. 68 GDP 1.5-2.0%, ส่งออก -0.5-0.9% และเงินเฟ้อ 0.5-1.0% ส่วนเดือน ก.ค. 68 GDP 1.5-2.0%, ส่งออก -0.5-0.3% และเงินเฟ้อ 0.5-1.0% ด้านเดือน ส.ค. 68 GDP 1.8-2.2%, ส่งออก 2.0-3.0% และเงินเฟ้อ 0.5-1.0%