โดย ทีมจัดการลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ทิสโก้ จำกัด
การเล่นเกมเสี่ยงเรื่องการค้าแบบสุดโต่งของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ ที่กำลังสร้างกำแพงภาษีกับประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก มีโอกาสสูงที่จะนำไปสู่ราคาสินค้าที่ปรับสูงขึ้น ตัวเลือกที่จำกัดขึ้นของผู้บริโภค และทางเลือกที่ยากลำบากของผู้ผลิตในภาคอุตสาหกรรมของสหรัฐฯเอง
อย่างไรก็ตาม ในช่วง 30 วันก่อนถึงกำหนดการสิ้นสุดการเจรจาเพื่อบรรลุข้อตกลงทางการค้า โดนัลด์ ทรัมป์ ได้ส่งสัญญาณการจัดเก็บภาษีรอบใหม่ โดยเฉพาะกับประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งถูกใช้เป็นเส้นทางสำคัญสำหรับผู้ผลิตจีนที่พยายามหลีกเลี่ยงภาษีศุลกากรของสหรัฐฯ โดยขู่ว่าจะเก็บภาษีนำเข้าในช่วงอัตรา 25–40% เพื่อบีบให้เข้าสู่โต๊ะเจรจา
เริ่มจากวันที่ 3 กรกฎาคม 2568 โดนัลด์ ทรัมป์ประกาศว่าเวียดนาม ซึ่งเป็นจุดหมายปลายทางหลักของ “สินค้าจีนที่ถูกเปลี่ยนเส้นทาง” ได้ยอมรับการเก็บภาษีที่ 20% ต่อสินค้าส่งออกมายังสหรัฐฯ และภาษีอาจถูกเก็บสูงถึง 40% หากเป็นสินค้าที่ถูกส่งผ่านมาอีกทอดหนึ่ง (Transshipment) ซึ่งล่าสุดยังไม่มีหลักเกณฑ์หรือคำจำกัดความที่ประกาศออกมาอย่างแน่ชัดว่าสินค้า Transshipment ในแต่ละอุตสาหกรรมควรมีสัดส่วนวัตถุดิบในประเทศ (Local content) เป็นเท่าไหร่ รวมถึงความยากในการตรวจสอบเส้นทางที่มาของต้นกำเนิดของสินค้า (Traceability) นอกจากนี้ ยังสร้างความกังวลว่าอาจมีโอกาสที่ประเทศอื่น ๆ ในภูมิภาคอาเซียนจะโดนบังคับใช้มาตรการลักษณะดังกล่าวเดียวกัน
ต่อมา โดนัลด์ ทรัมป์ประกาศว่าอินโดนีเซียจะถูกเก็บภาษีที่ 19% สำหรับการส่งออกไปยังสหรัฐฯ จากเดิมที่ขู่ไว้ที่ 32% และมีข้อแลกเปลี่ยนโดยอินโดนีเซียจะต้องตกลงซื้อ น้ำมัน เครื่องบิน และสินค้าเกษตรจากสหรัฐฯ
สำหรับประเทศนอกเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่สำคัญอื่น ๆ ดูเหมือนจะถูกจัดเก็บภาษีนำเข้าในอัตราที่น้อยกว่าโดยเปรียบเทียบ เช่น ญี่ปุ่น ได้บรรลุข้อตกลงการค้าที่อัตราภาษีสินค้านำเข้าสหรัฐฯที่ 15% และภาษีนำเข้ารถยนต์ที่ผลิตในญี่ปุ่นมายังสหรัฐฯ ให้ลดลงเหลือ 15% จาก 25% เฉกเช่นเดียวกันกับสหภาพยุโรปที่บรรลุข้อตกลงและจะถูกเก็บภาษีที่ 15% โดยคู่ค้าทั้งญี่ปุ่นและสหภาพยุโรปต่างก็ยอมลดภาษีนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ เหลือ 0% เช่นเดียวกับเกาหลีใต้ที่ตกลงอัตราภาษีได้ที่15% แลกกับการลงทุนมูลค่า 350,000 ล้านดอลลาร์ในสหรัฐฯ รวมถึงการนำเข้าพลังงานจากสหรัฐฯเพิ่มเติมด้วย อย่างไรก็ตามประเทศที่มีประเด็นกับประเทศที่มีปัญหาเชิงภูมิรัฐศาสตร์ ไม่ว่าจะเป็นจีน รัสเซีย รวมถึงอิหร่าน พบว่าโดนเรียกเก็บภาษีในอัตราที่สูงกว่า ยกตัวอย่างเช่น อินเดีย โดยเมื่อวันที่ 30 กรกฎาคม ที่ผ่านมา ทรัมป์ประกาศว่าสินค้านำเข้าจากอินเดียไปสหรัฐฯ จะถูกเรียกเก็บภาษีที่ 25% บวกกับค่าปรับเพิ่มสำหรับการค้ากับรัสเซีย
ทั้งนี้ ในส่วนของประเทศไทยนั้น ณ เวลาที่เขียนบทความนี้อยู่ในช่วงปลายเดือนกรกฎาคม ยังคาดการณ์ได้ยาก ว่าระดับภาษีท้ายที่สุดของไทยและประเทศอื่น ๆ ที่เหลือในภูมิภาคจะอยู่ที่ระดับใด แต่เค้าโครงของกำแพงภาษีใหม่กลับดูเป็นรูปเป็นร่างมากขึ้น ว่าน่าจะอยู่ที่ระดับเดียวกับประเทศเขตอาเซียนด้วยกัน ทั้งนี้ ข้อตกลงภาษีที่ 20% ของเวียดนาม ไม่จำเป็นต้องกลายเป็นบรรทัดฐานสำหรับประเทศอื่นในภูมิภาค เพราะประเทศอื่นมีการพึ่งพาวัตถุดิบจากจีนในการผลิตที่น้อยกว่า และมีส่วนเกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนเส้นทางสินค้า เพื่อหลีกเลี่ยงภาษีของสหรัฐฯ ที่น้อยกว่าเวียดนาม
อย่างไรก็ดี ไม่ว่าสุดท้ายแล้วระดับภาษีที่ตกลงกันจะอยู่ที่เท่าไหร่ ผลลัพธ์หนึ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ก็คือ ราคาสินค้าส่งออกจากประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้สู่สหรัฐฯ จะสูงขึ้น นอกจากนี้ กำแพงภาษีจะส่งผลกระทบต่อห่วงโซ่อุปทานในระดับภูมิภาค ซึ่งอาจรวมถึงการชะลอการย้ายฐานการผลิตจากจีนเข้าสู่อาเซียน ซึ่งเคยเร่งตัวขึ้นตั้งแต่การดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีในวาระแรกของทรัมป์ เพราะแรงจูงใจในการย้ายฐานการผลิตจากจีนจะน้อยลง หากช่องว่างระหว่างภาษีสินค้าจีนกับประเทศผู้ผลิตอื่นแคบลง
ในเชิงของการลงทุน นั้น ในระยะสั้นดูเหมือนตลาดตราสารหนี้และตลาดหุ้นจะมองว่าผลลัพธ์จากการเจรจาทางการค้าเป็นที่ยอมรับได้ ตลาดหุ้นในประเทศต่าง ๆ ปรับตัวขึ้น สเปรดของตราสารหนี้ภาคเอกชนและตลาดพันธบัตรรัฐบาลไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงรุนแรงนัก จะเห็นได้ว่าตลาดกำลังมองข้ามการชะลอตัวและผลกระทบที่ยากต่อการคาดคะเนออกมาเป็นตัวเลขที่แน่นอนของกำแพงภาษีใหม่นี้ แต่ความเสี่ยงที่แท้จริงกลับอยู่ในระยะยาว ทั้งความเสี่ยงของรูปแบบทางเศรษฐกิจที่ถูกเปลี่ยนแปลงไป ความสัมพันธ์ในระดับภูมิภาคและระดับโลกที่จะแตกต่างไปจากในอดีตที่เคยเป็นมา
ดังนั้น ไม่ว่าผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยในระยะยาวจะเป็นอย่างไร ทางผู้เขียนคาดหวังการดำเนินนโยบายทางการเงินและการคลังของประเทศที่สอดคล้องกัน เพื่อช่วยสนับสนุนให้ภาคเอกชนเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน ทั้งในส่วนของส่งออก รวมถึงให้ภาคครัวเรือนประคองตัวผ่านพ้นช่วงเวลาที่ท้าทายจากปัจจัยภายนอกที่เข้ามากระทบ และทำให้เศรษฐกิจไทยในปี 2568 มีโอกาสโตต่ำกว่าศักยภาพไปได้