ที่ประชุมคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) คงประมาณการเศรษฐกิจไทยปี 68 ไว้เท่าเดิม โดยคาดการณ์ GDP ปีนี้ที่ 1.5-2.0% การส่งออก -0.5 ถึง 0.3% และเงินเฟ้อ 0.5-1.0% มองครึ่งปีหลังเศรษฐกิจไทยอ่อนแรงจากหลายปัจจัยรุมเร้า จี้แบงก์ชาติ ลดดอกเบี้ยนโยบาย ดูแลค่าเงินบาทให้สอดคล้องภูมิภาค และสะท้อนปัจจัยพื้นฐานที่แท้จริง เล็งเข้าพบหน่วยงานเศรษฐกิจแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างกัน
นายผยง ศรีวณิช ประธานสมาคมธนาคารไทย ในฐานะประธานที่ประชุม กกร. ระบุว่า เศรษฐกิจไทยครึ่งปีหลังมีแนวโน้มอ่อนแรงลง โดยว่าคาดทั้งปี 68 ขยายตัวในระดับต่ำ ที่ราว 1.5-2.0% โดยจะเติบโตใกล้เคียง 2.0% หากอัตราภาษีที่ไทยโดนเรียกเก็บยังอยู่ที่ 10% ในครึ่งปีหลัง แต่จะลดลงมาใกล้ 1.5% หากโดนเรียกเก็บที่ 18% หรือครึ่งหนึ่งของอัตรา Reciprocal Tariff
กกร. ห่วงศก.ครึ่งปีหลังอ่อนแรง สารพัดปัจจัยรุมเร้า จี้แบงก์ชาติลดดอกเบี้ย-ดูแลเงินบาท
ท่ามกลางอุปสงค์ภายในประเทศที่มีแนวโน้มชะลอลง จำนวนนักท่องเที่ยวจีนที่ต่ำกว่าคาด ซึ่งยังทดแทนด้วย Long haul ได้ รวมถึงความไม่แน่นอนทางการเมือง ที่อาจส่งผลกระทบต่อการเบิกจ่ายงบประมาณในปีงบประมาณ 2568 ที่เหลืออยู่ และการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายประจำปี 2569 ซึ่งจะมีผลต่อเศรษฐกิจในช่วงไตรมาสที่ 4 ของปีนี้
นอกจากนี้ กกร. ไม่เห็นด้วยกับการประเมินทิศทางเศรษฐกิจของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ที่มองว่าเศรษฐกิจไทยในปีนี้ จะเติบโตได้ถึง 2.3% ซึ่งดีขึ้นกว่าประมาณการเดิม
ทั้งนี้ ที่ประชุม กกร.ยังประเมินว่า การส่งออกไทยในครึ่งหลังของปีนี้จะหดตัว เพราะการส่งออกของไทยช่วง 5 เดือนแรก ขยายตัวถึง 14.9% เป็นเพราะการเร่งนำเข้า ก่อนหมดช่วงผ่อนปรนของมาตรการภาษีของสหรัฐฯ แต่ระยะข้างหน้าการส่งออกมีสัญญาณแผ่วลง และมีความเป็นไปได้ที่มูลค่าการส่งออกในช่วงครึ่งหลังของปี จะหดตัวกว่า -10% จึงทำให้การส่งออกทั้งปี ขยายตัวใกล้เคียง 0% ซึ่งจะกระทบต่อภาคการผลิต การจ้างงาน และรายได้ของแรงงานในห่วงโซ่อุปทานที่เกี่ยวข้อง
ขณะที่เศรษฐกิจโลกในช่วงครึ่งหลังของปี 68 ยังคงเผชิญความไม่แน่นอนสูง แม้การเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ และประเทศต่าง ๆ จะมีความคืบหน้า โดยเฉพาะกับจีน และสหราชอาณาจักร แต่ยังไม่น่าที่จะได้ข้อสรุปที่เป็นรูปธรรมก่อนวันที่ 9 ก.ค. 68 ซึ่งอาจจะนำไปสู่การเรียกเก็บภาษีในอัตราสูงขึ้นหากไม่ขยายเวลาการผ่อนผัน ขณะที่เศรษฐกิจประเทศหลักมีแนวโน้มแผ่วลง นอกจากนี้ ความขัดแย้งด้านภูมิรัฐศาสตร์ในตะวันออกกลาง อาจมีความรุนแรงขึ้นได้อีก
*จี้แบงก์ชาติ ลดดอกเบี้ย-ดูแลค่าเงินให้สอดคล้องภูมิภาค
นายผยง กล่าวด้วยว่า กกร. มีความกังวลต่อสถานการณ์เงินบาทที่แข็งค่าขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยมาอยู่ในช่วง 32.50 บาท/ดอลลาร์ และแข็งค่ามากกว่าประเทศอื่นในภูมิภาค เช่น เวียดนาม อินโดนีเซีย และจีน ทำให้ธุรกิจแข่งขันไม่ได้ ซึ่งการแข็งค่าของเงินบาทไม่สอดคล้องกับภาวะเศษฐกิจที่ชะลอตัวอย่างมาก รวมทั้งภาวะเงินตึงตัว สินเชื่อไม่เติบโต และทิศทางดอกเบี้ยอยู่ในภาวะ Inverted Yield Curve หรือการที่ตลาดคาดการณ์ว่าดอกเบี้ยจะลดลงในระยะข้างหน้า
"จึงขอให้ธนาคารแห่งประเทศไทย ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย เร่งดูแลทิศทางของค่าเงินให้สอดคล้องกับปัจจัยพื้นฐานของเศรษฐกิจ แยกแยะและลดผลกระทบจากปัจจัยอื่นที่กระทบค่าเงินบาท เช่น การซื้อขายทองคำ การเกินดุลการชำระเงิน (Balance of Payment) จาก Error& Omission ที่สูงอย่างต่อเนื่อง เป็นต้น" นายผยง ระบุ
นอกจากนี้ การส่งออกสินค้าในปัจจุบัน ที่แม้จะมีการขยายตัวสูง แต่มาจากการนำเข้าที่สูงเช่นกัน สะท้อนจากการผลิต และการจ้างงานที่ยังอยู่ในระดับต่อเนื่อง นับตั้งแต่ covid-19 ซึ่งเป็นปัญหาเชิงโครงสร้างที่มีต่อเนื่อง ได้แก่ ปัญหาการสวมสิทธิ์เพื่อการส่งออกสินค้า (transshipment) การนำเข้าสินค้าคุณภาพต่ำ ที่ยังมีปัญหาในการบังคับใช้กฎหมายเพื่อป้องกันและควบคุม และนโยบายการส่งเสริมการลงทุนที่ไม่เน้นการสร้างมูลค่าเพิ่ม และสนับสนุนการสร้าง supply chain ในประเทศ
ดังนั้น การเร่งการแก้ไขปัญหาการสวมสิทธิ์ ต้องอาศัยความร่วมมือด้านการจัดการข้อมูลอย่างเป็นระบบ ซึ่งนอกจากภาครัฐ เอกชนไทย ยังรวมถึงผู้ประกอบการต่างชาติ ที่เข้ามาอย่างถูกต้องและสนับสนุนธุรกิจในประเทศ เพื่อยกระดับในการปกป้องอุตสาหกรรมในประเทศ
*เล็งขอเข้าพบ "ธปท.-สภาพัฒน์-คลัง-พาณิชย์"
นายผยง กล่าวว่า กกร. มีแนวทางที่จะขอเข้าพบ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.), สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สภาพัฒน์), กระทรวงการคลัง และกระทรวงพาณิชย์ เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลในการสร้างความเข้าใจร่วมกัน ถึงแนวทางในการมองเศรษฐกิจในแต่ละภาคส่วน รวมถึงการปรับโครงสร้างอุตสาหกรรม ที่ต้องอาศัยความร่วมมือจากทั้งภาคการเงิน และภาคอุตสาหกรรม ในการร่วมมือกับภาครัฐ เพื่อชี้เป้าอุตสาหกรรมและจัดลำดับความสำคัญ เนื่องจากทรัพยากรที่มีจำกัด ในการส่งเสริมการปรับความสามารถในการผลิตของไทย (competitiveness) รวมไปถึงการแลกเปลี่ยนข้อมูลการค้าการลงทุนจากต่างชาติ ที่ ธปท. ร่วมกับสภาพัฒน์ กระทรวงพาณิชย์ และ กกร.ได้ร่วมกันศึกษา