กกร.หั่นเป้าเศรษฐกิจไทยปี68เหลือโต 1.5-2% ตามการส่งออกและการลงทุนภาคเอกชนที่ชะลอตัวในครึ่งปีหลัง ทำให้เศรษฐกิจในครึ่งปีหลังขยายตัวไม่ถึง 1% พร้อมกังวลการเจรจาภาษีไทยและสหรัฐฯ ที่ยังไม่ชัดเจน จี้รัฐเร่งหามาตรการจัดการสินค้าจีนทะลัก และการสวมสิทธิ์ส่งออก
นายผยง ศรีวณิช ประธานสมาคมธนาคารไทย ในฐานะประธานคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) เปิดเผยว่า ที่ประชุม กกร.ประเมินเศรษฐกิจไทยปี 2568 มีแนวโน้มขยายตัวต่ำกว่าที่ประมาณการไว้ โดยคาดว่าจะGDPเติบโตอยู่ที่ 1.5-2.0% ณ เดือนมิถุนายน 2568 ลดต่ำลงจากเดือนพฤษภาคม 2568 ที่เคยคาดการณ์GDPอยู่ที่ 2.0-2.2% ตามการส่งออกสินค้าและการลงทุนภาคเอกชนที่มีแนวโน้มชะลอตัวลงในครึ่งปีหลัง
ซึ่งการที่เศรษฐกิจไทยจะเติบโตได้ถึง 2.0% จำเป็นต้องมีโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจที่มุ่งเป้า และเป็นไปตามวัตถุประสงค์ที่ต้องการกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างมีประสิทธิภาพ รวมทั้งเร่งรัดการใช้จ่ายภาครัฐให้ได้อย่างน้อย 70% ของวงเงินกระตุ้นเศรษฐกิจ 1.57 แสนล้านบาท นอกจากนี้ยังต้องเร่งขยายตลาดนักท่องเที่ยวระยะไกล (Long-haul) ซึ่งตั้งแต่ต้นปีขยายตัวราว 17% เพื่อทดแทนนักท่องเที่ยวจากจีนที่ลดลง จำเป็นต้องเร่งสร้างความเชื่อมั่นด้านความปลอดภัยให้กับนักท่องเที่ยว
แม้ว่าในช่วงครึ่งแรกปีนี้ เศรษฐกิจจะขยายตัวใกล้เคียง 3.0% จากช่วงเดียวกันปีก่อน แต่ครึ่งปีหลังมีแนวโน้มที่จะขยายตัวไม่ถึง 1% โดยขึ้นอยู่กับผลการเจรจาภาษีระหว่างสหรัฐฯและไทยเปรียบเทียบกับประเทศคู่แข่ง ตลอดจนแนวโน้มการเพิ่มขึ้นของสินค้านำเข้าจากจีน ซึ่งอาจส่งผลกระทบเป็นวงกว้างต่อธุรกิจและการจ้างงาน
ดังนั้นมาตรการภาครัฐที่ปัจจุบันเป็นมาตรการระยะสั้น จึงควรมองต่อเนื่องทั้งมาตรการระยะกลางและระยะยาวเพื่อให้เกิดการแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างต่อเนื่อง อีกทั้งควรมีความยึดหยุ่นและสอดรับกับสถานการณ์ที่มีความไม่แน่นอนสูงโดยเฉพาะการช่วยเหลือผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากการส่งออก ตลอดจนป้องกันสินค้านำเข้าผ่านการควบคุมมาตรฐานและตรวจสอบสินค้าผ่านด่านอย่างเข้มงวด
จากตัวเลขเศรษฐกิจไทยในไตรมาสที่ 1/2568 ขยายตัวที่ 3.1% จากช่วงเดียวกันปีก่อน ส่วนหนึ่งเป็นผลจากปัจจัยชั่วคราวตามการลงทุนภาครัฐ ซึ่งเทียบกับฐานต่ำในปีก่อน หากไม่นับปัจจัยดังกล่าวเศรษฐกิจไทยจะขยายตัวได้ประมาณ 2.1% จากช่วงเดียวกันปีก่อนเท่านั้น โดยการบริโภคชะลอลง ขณะที่การลงทุนภาคเอกชนหดตัวต่อเนื่องและจำนวนนักท่องเที่ยวจีนลดลง ด้านการส่งออกสินค้าแม้จะขยายตัวสูงกว่า 15% จากช่วงเดียวกันปีก่อนตามการเร่งส่งออก แต่กลับไม่ได้ส่งผลบวกต่อภาคการผลิต ซึ่งขยายตัวเพียง 0.6% จากช่วงเดียวกันปีก่อน โดยส่วนใหญ่เป็นการส่งออกโดยใช้สินค้าคงคลัง โดยกกร.ประเมินว่าการส่งออกในปี2568อยู่ที่ -0.5 ถึง0.3% ลดต่ำลงจากที่เคยตั้งเป้าไว้ที่ 0.3ถึง0.9%
ส่วนเศรษฐกิจโลกมีแนวโน้มชะลอตัวลงและมีความไม่แน่นอนสูงขึ้น หลังมาตรการภาษีของรัฐบาลสหรัฐฯอยู่ระหว่างการพิจารณาทางกฎหมาย นอกจากนี้ล่าสุดรัฐบาลสหรัฐฯได้เพิ่มภาษี sectoral tariff เหล็กและอะลูมิเนียมจาก 25% เป็น 50% อย่างไรก็ตามความคืบหน้าของการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯกับจีน สหราชอาณาจักร และสหภาพยุโรป มีส่วนช่วยลดความดึงเครียดของสงครามการค้าในระดับหนึ่ง
นายผยง กล่าวว่าที่ประชุม กกร. มีความกังวลประเด็นการสวมสิทธิ์การส่งออกและการ re-export โดยใช้ local content ต่ำ ซึ่งไม่ได้เอื้อประโยชน์ต่อเศรษฐกิจไทยแม้ว่าการส่งออกจะขยายตัวได้สูง แต่ก็มีการนำเข้าที่สูงเช่นกัน ขณะที่ภาคการผลิต การบริโภคในประเทศ และการลงทุนภาคเอกชนที่ไม่ได้เพิ่มขึ้นตาม นอกจากนี้ประเทศไทยยังขาดการเชื่อมโยงด้านการนำเข้ากับส่งออก ที่ทำให้เข้าใจภาพเศรษฐกิจในเชิงลึก เพื่อให้สามารถติดตามและแก้ปัญหา re-export ได้อย่างเป็นรูปธรรมมากขึ้น
นอกจากนี้ กกร.ยังแสดงความกังวลเกี่ยวกับความคืบหน้าในการเจรจาอัตราภาษีระหว่างไทยและสหรัฐฯ ซึ่งกรอบเวลาในการเจรจายังไม่ชัดเจนและมีความเสี่ยงสูง โดยเชื่อมโยงกับประเด็นด้านภูมิรัฐศาสตร์ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อการเจรจา โดยระยะเวลาผ่อนปรนภาษี 90 วันของสหรัฐฯ จะสิ้นสุดลงในวันที่ 8 ก.ค.2568
นายผยง กล่าวต่อว่า กกร. เห็นด้วยกับการธยายเวลาลงทะเบียนโครงการ "คุณสู้ เราช่วย" เฟส 1 จนถึง 30 มิ.ย. 2568 และแนวทางเฟส 2 ที่ขยายคุณสมบัติลูกหนี้ที่เข้าโครงการได้ เช่น ผ่อนเกณฑ์เรื่องการค้างชำระลูกค้าที่เคยปรับโครงสร้างหนี้ ในมาตรการ "จ่ายตรงคงทรัพย์" และการขยายภาระหนี้ที่สามารถเข้ามาตรการ "จ่าย ปิด จบ" ได้ อย่างไรก็ดียังจำเป็นต้องมีมาตรการรองรับในระยะถัดไป โดยเฉพาะการสร้างรายได้ เสริมสวัสดิการ ให้ลูกหนี้มีศักยภาพได้ด้วยตนเองภายหลังจบโครงการ 3 ปี เพื่อไม่เเป็นการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุไปเรื่อยๆ
ที่ประชุม กกร. มีความกังวลต่อสถานการณ์ค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นอย่างรวดเร็ว มาอยู่ในช่วง 32.5-32.7 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐโดยแข็งค่ามากกว่าประเทศในภูมิภาค เช่น เวียดนาม สิงคโปร์ เดือนที่ผ่านมา ซึ่งค่าเงินบาทแข็งค่ากว่าระดับที่ธุรกิจแข่งขันได้ ดังนั้นภาครัฐควรให้ความสำคัญกับการดูแลค่าเงินไม่ให้แข็งค่าหรือผันผวนเร็วจนเกินไป รวมทั้งสื่อสารฯเชิงรุกเพื่อให้ภาคธุรกิจสามารถรับรู้และปรับตัวได้ทันการณ์
นอกจากนี้ กกร.ยังมีความกังวลต่อขีดความสามารถในการแข่งชันของผู้ประกอบการไทยทั้งจากสภาพเศรษฐกิจไทยที่ชะลอตัว แรงกดดันจากสงครามการค้า และการไหลทะลักเข้ามาของสินค้าจากต่างประเทศ ทำให้ผู้ประกอบการประสบปัญหาสภาพคล่องทางการเงินโดยเฉพาะผู้ประกอบการ SMEs เพื่อลดภาระให้กับผู้ประกอบการไทย ดังนั้น กกร. เสนอให้ภาครัฐพิจารณาปรับลดวงเงินประกันการใช้ไฟฟ้าสำหรับผู้ประกอบการประเภทที่ 3 กิจการขนาดกลาง ประเภทที่ 4 กิจการขนาดใหญ่ และประเภทที่ 5 กิจการเฉพาะอย่าง (กิจการโรงแรมและให้เช่าพักอาศัย) ที่ปัจจุบันมีการวางเงินประกันการใช้ไฟฟ้ารวมกว่า 3 หมื่นล้านบาท โดยขอให้ปรับลดวงเงินประกันฯ ให้เหลือ 0.5 เท่า สำหรับผู้ใช้ไฟฟ้าที่มีการชำระค่าไฟฟ้าตามกำหนด จากเดิมที่สำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) มีมติเมื่อวันที่ 28 ต.ค.67 ปรับเหลือ 0.8 เท่า ซึ่งการปรับลดวงเงินประกันดังกล่าวจะมีส่วนช่วยส่งเสริมให้ผู้ประกอบการมีสภาพคล่องทางการเงินในการดำเนินธุรกิจมากขึ้น
ส่วนผลกระทบจากสถานการณ์ชายแดนไทยและกัมพูชา ขณะนี้ยังไม่เห็นผลกระทบที่ชัดเจนต่อระบบเศรษฐกิจ เชื่อว่าภาครัฐกำลังเจรจาอยู่เพื่อไม่ให้สถานการณ์รุนแรงและขยายวงกว้างมากขึ้น