Kintone ในเครือ Cybozu ผู้ให้บริการกรุ๊ปแวร์สำหรับธุรกิจชั้นนำจากญี่ปุ่น พร้อมรุกตลาดไทยเต็มกำลัง หวังติดปีกธุรกิจไทยให้เข้าสู่ระบบออฟฟิศดิจิทัลเพื่อสร้างการเติบโตได้ดียิ่งขึ้น ด้วยการเปิดตัวโซลูชันทำงานแบบ DIY ปูทางธุรกิจขนาดเล็กและกลาง (SMEs) รวมไปถึงภาครัฐ ปักธงกวาดลูกค้าได้ถึง 500 รายภายในปี 2568 หรือใน 3 ปี มีลูกค้าใช้บริการกว่า 1,000 บริษัท จากปัจจุบันมีฐานลูกค้าแล้ว 300 ราย
นายน้ำยา วายุภาพ กรรมการผู้จัดการ บริษัท Kintone (Thailand) จำกัด เปิดเผยว่า ตามข้อมูลของสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) คาดว่ามูลค่าเศรษฐกิจดิจิทัลของไทยจะเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 25 ของ GDP ภายในปี 2570 ซึ่งประเทศไทยเป็นหนึ่งในเศรษฐกิจที่ทรงพลังที่สุดในภูมิภาคนี้ โดยมีประชากรกว่า 80% สามารถเข้าถึงอินเตอร์เน็ตได้ และกว่า 99% เป็นบริษัทเป็นธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ในขณะที่ธุรกิจขนาดเล็กของไทยแสดงความสนใจอย่างมากในการเปลี่ยนโฉมสู่ออฟฟิศดิจิทัล แต่ก็ยังคงมีอุปสรรคในการนำเทคโนโลยีจากต่างประเทศมาใช้
ขณะที่ตลาดเทคโนโลยีโลกมีโซลูชันที่สร้างสรรค์มากมาย แต่เจ้าของธุรกิจชาวไทยจำนวนมากกังวลเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายในการดำเนินการและบำรุงรักษาระบบใหม่ ทำให้พวกเขามักรู้สึกปลอดภัยกว่าที่จะยึดติดกับกระบวนการแบบเดิม เช่น การใช้เอกสารกระดาษหรือสเปรดชีท ซึ่งไม่จำเป็นต้องมีความรู้ด้านเทคโนโลยีใดๆ ในการใช้งาน
อีกทั้งตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาโซลูชันดิจิทัลมักให้ความรู้สึกที่ยากและซับซ้อนมากกว่าวิธีการแบบดั้งเดิม ส่งผลให้ธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมส่วนใหญ่ไม่มีการจ้างพนักงานฝ่ายไอที หรือว่าจ้างบุคลากรไอทีที่มีความสามารถในตลาดที่มีความต้องการสูงในประเทศได้ แต่เมื่อพิจารณาภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลงหลังจากการแพร่ระบาดของโรค COVID-19 ทำให้ไม่แปลกใจเลยที่เจ้าของธุรกิจเลือกที่จะคงกระบวนการแบบเดิมๆ แม้ว่ามีความคิดที่จะลงทุนในเทคโนโลยีใหม่ๆ ก็ตาม
จากสถานการณ์ที่เกิดขึ้น จึงเป็นโอกาสที่ทาง Kintone จะเข้ามาทำตลาดในไทย จากเดิม Kintone ได้เข้ามาทำตลาดในไทยอยู่ก่อนแล้วตั้งแต่ปี 2011 แต่เป็นในรูปแบบผ่านตัวแทน ซึ่งในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ได้เข้ามาเปิดบริษัทและให้บริการด้วยตัวเอง โดยมีลูกค้าอยู่ราว 300 บริษัทแล้ว ส่วนใหญ่หรือกว่า 85% เป็นบริษัทญี่ปุ่นที่เข้ามาทำตลาดในไทย และอีก 15% เป็นบริษัทไทยที่ต่อยอดมาจากลูกค้าบริษัทญี่ปุ่นที่ได้พูดคุยแนะนำกันมา เชื่อภายในปี 2568 สัดส่วนบริษัทไทยจะเพิ่มเป็น 20% ได้
นายน้ำยา กล่าวต่อว่า รูปแบบการให้บริการของ Kintone จะมาในรูปแบบของโซลูชันทำงานแบบ DIY ที่มาช่วยระบบการทำงานในออฟฟิศทั้งหมด เช่น ระบบแบบฟอร์มต่างๆ ระบบการจัดเก็บข้อมูล เป็นต้น ซึ่งบริการดังกล่าว ลูกค้าจ่ายค่าบริการเพียงค่าการสมัครล็อกอินเข้ามาใช้งานเท่านั้น เบื้องต้น 1 บริษัทที่ต้องการให้มีพนักงานเข้าใช้งาน 5-10 คน เฉลี่ยต่อเดือนจ่ายเพียงประมาณ 4,000 บาทเท่านั้น และไม่จำเป็นต้องเสียค่าดูแลระบบหรือสร้างระบบขึ้นมา ถือเป็นการลดต้นทุนให้ลูกค้าในเรื่องการวางระบบไอที ที่เดิมแต่ละบริษัทต้องลงทุนในหลักล้านบาทขึ้นไป
ทั้งนี้โซลูชันดังกล่าวยังช่วยลดต้นทุนกระดาษ ย่นโปรเซสการทำงานให้สั้นลง และสร้างรายได้ได้มากกว่าเดิม ยกตัวอย่าง เช่น ลูกค้าที่ทำธุรกิจเกี่ยวกับการขายเครื่องปริ้นเตอร์ ฝ่ายขายออกไปหาลูกค้าและนำโซลูชันของ Kintone ไปใช้ ช่วยให้ฝ่ายขายคนนั้นปิดการขายได้เร็วขึ้น และสร้างยอดขายเพิ่มขึ้น จากเดือนละ 90,000 บาท เป็นมากกว่า 200,000 บาท ได้ภายใน 1 เดือน
”โอกาสของ Kintone มีสูงมากในไทย ซึ่งทางบริษัทเน้น 3 กลุ่มธุรกิจ คือ กลุ่มเซอร์วิส เทรดดิ้ง และแมนูแฟกเจอริ่ง รวมถึงหน่วยงานภาครัฐ ก็สามารถใช้งานโซลูชันของทาง Kintone ได้ทั้งหมด ซึ่งที่กำลังมีพูดคุยกันอยู่ เช่น สถานศึกษาต่างๆ มั่นใจว่า ภายในปี 2568 บริษัทจะมีลูกค้าเพิ่มเป็น 500 บริษัท สู่เป้าหมายใน 3 ปี ที่จะต้องมีลูกค้าที่ 1,000 บริษัท”
นายน้ำยา ยังได้กล่าวด้วยว่า บริษัทไทยมักจะยึดติดกับกระบวนการเดิมๆ หรือซอฟต์แวร์ฟรีที่มีอยู่ ประกอบกับต้นทุนในการจ้างทีมไอทีและผู้มีประสบการณ์ที่สูงเกินไป ส่งผลให้โซลูชันที่มีอยู่มากมายยังไม่ถูกนำมาใช้งาน ดังนั้นโซลูชันของ Kintone ที่ผู้ใช้สามารถเข้ามาดูแลระบบและปรับแต่งระบบได้เองโดยตรง ถือเป็นโซลูชันที่ธุรกิจในไทยจะสามารถนำไปปรับใช้งานได้ แม้ว่าจะไม่มีพื้นฐานด้านไอที
“Kintone เป็นผู้สร้างโซลูชันพื้นที่การทำงานแบบ DIY และเป็นส่วนสำคัญที่จะเข้ามาเปลี่ยนโฉมวงการธุรกิจไทย ตอบสนองไปตามความต้องการของผู้ใช้งาน ผ่านการสร้างแอปพลิเคชันที่สามารถจัดการด้วยตนเองได้แบบครบวงจรแบบ all-in-one พร้อมออกแบบ Workflow ในองค์กรได้แบบไม่จำเป็นต้องเขียนโปรแกรม (no-coding) ให้ยุ่งยาก เชื่อมต่อทุกระบบผ่าน Cloud Service ทำให้ไม่ว่าพนักงานจะอยู่ที่สำนักงาน บ้าน หรือประชุมกับลูกค้าก็สามารถเข้าถึงระบบการทำงานอย่างมีประสิทธิภาพได้เต็มที่”
จุดเด่นของระบบเหล่านี้คือความยืดหยุ่นที่เพิ่มขึ้นโดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม ธุรกิจที่นำเครื่องมือแบบ no-code มาใช้จะสามารถประหยัดเวลาและทรัพยากรด้านระบบไอที ซึ่งสามารถนำไปใช้ในด้านอื่นๆ ได้ ตลาดของไทยมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ความสามารถในการตอบสนองความต้องการของลูกค้าและรับมือกับคู่แข่งขันอย่างรวดเร็วจะเป็นตัวตัดสินความสำเร็จ
“แม้ว่าโซลูชันพื้นที่ทำงานแบบ DIY ของ Kintone จะถูกออกแบบมาให้ผู้ใช้งานสามารถปรับแต่งระบบเองได้ 100% แต่ไม่ได้หมายความว่าความรับผิดชอบทั้งหมดจะอยู่ที่ผู้ใช้งาน 100% เนื่องจาก Kintone มีทีมงานซัพพอร์ตสำหรับผู้ใช้งานคนไทยด้วยภาษาไทย ที่พร้อมสนับสนุนการติดตั้ง ออกแบบพื้นที่ทำงาน และทีมให้ความรู้ด้านดิจิทัลตลอดเวลา เพื่อให้ผู้ใช้งานสามารถใช้งานพื้นที่ทำงานแบบ DIY ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ และส่งเสริมธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมให้ประสบความสำเร็จในเศรษฐกิจยุคใหม่” นายน้ำยา กล่าวสรุป.