บวท.เปิดสถิติเที่ยวบินจีนโตกว่า 100% เมืองเฉินตู พุ่งสูงสุดรอบ 8 เดือนรวม 55,433 เที่ยวบิน คาดทั้งปีเพิ่มขึ้น 265 % "สุรพงษ์"ถกร่วมจีนดันพัฒนาระบบเทคโนโลยีการเดินอากาศ เพิ่มเส้นทางบิน หวังเพิ่มศักยภาพอีก 1 เท่าตัว รับนักท่องเที่ยวกระตุ้นเศรษฐกิจดันไทยฮับการบิน
วันที่ 5 ก.ค.67 นายสุรพงษ์ ปิยะโชติ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม เป็นประธานการประชุม ร่วมกับอธิบดีสำนักบริหารการจราจรทางอากาศภูมิภาคตะวันตกเฉียงใต้ (SW ATMB) กรมการบินพลเรือนแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน (CAAC) ผู้แทนจากสมาคมเศรษฐกิจไทยจีนและรองประธานอาวุโสหอการค้า ไทย-ฉงชิ่งเลขาธิการกรรมาธิการสมๅาคมการลงทุนแห่งนานาชาติ กงสุลใหญ่ ณ นครเฉิงตู สาธารณรัฐประชาชนจีน และ ผู้บริหารบริษัท วิทยุการบินแห่งประเทศไทย จำกัด (บวท.) ถึงความคืบหน้าความร่วมมือในการรองรับเที่ยวบินเพิ่มระหว่างไทย-จีน
นายสุรพงษ์ ปิยะโชติ รมช.คมนาคม กล่าวว่า ตามที่ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีได้ประกาศนโยบายขับเคลื่อนพัฒนาประเทศไทย และยกระดับศักยภาพด้านการบินของประเทศไทยสู่การเป็นศูนย์กลางการบิน (Aviation Hub) เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและการท่องเที่ยว โดยรัฐบาลไทยและจีนได้เห็นชอบข้อตกลงทวิภาคีในการยกเลิกข้อกำหนดด้านวีซ่าให้แก่นักท่องเที่ยวของทั้ง 2 ประเทศ ส่งผลให้ปริมาณเที่ยวบินเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ เที่ยวบินไทย - จีน มีสัดส่วนที่สูงสุด คือ 20% ของปริมาณเที่ยวบินระหว่างประเทศทั้งหมด โดยตั้งแต่เดือนตุลาคม 2566 - พฤษภาคม 2567 (8 เดือน) ปริมาณเที่ยวบิน ไทย - จีน รวม 55,433 เที่ยวบิน เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 213% และคาดการณ์ว่าตลอดทั้งปี 2567 จะมีปริมาณเที่ยวบินไทย - จีน รวม 86,150 เที่ยวบิน เพิ่มขึ้นทั้งปี 126%”
ปัจจุบันสนามบินในประเทศไทยที่มีเที่ยวบินจากจีนมาทำการบิน ประกอบด้วย สนามบินดอนเมือง สุวรรณภูมิ ภูเก็ต เชียงใหม่ สมุย และกระบี่ โดยมีทั้งเที่ยวบินขนส่งสินค้าและเที่ยวบินรับ-ส่งผู้โดยสาร ยกเว้นที่ดอนเมือง และสมุย มีตารางการบินล่วงหน้าสำหรับเที่ยวบินรับ-ส่งผู้โดยสารเท่านั้น ซึ่งขณะนี้หลายสายการบินได้กลับมาให้บริการในเส้นทางบิน ไทย - จีน อีกทั้งมีการขอเพิ่มเที่ยวบินไปยังจุดหมายปลายทางที่เป็นเมืองเศรษฐกิจสำคัญ เช่น เฉิงตู ซึ่งประเทศไทยเตรียมขยายตลาดทางการบินรองรับนักท่องเที่ยวกลุ่มนี้ ทั้งนี้ สนามบินในประเทศไทยที่มีเที่ยวบินไป-กลับ เฉิงตู ได้แก่ สุวรรณภูมิ ดอนเมือง ภูเก็ต เชียงใหม่ และสมุย ซึ่งในช่วง 8 เดือน ที่ผ่านมามีเที่ยวบินไป–กลับ เฉิงตู รวม 5,896 เที่ยวบิน และคาดการณ์ตลอดทั้งปี 2567 จะมีเที่ยวบิน ไป-กลับ เฉิงตู รวม 8,850 เที่ยวบิน เพิ่มขึ้น 265%”
“ผมได้มอบหมายให้วิทยุการบินฯ เร่งขยายขีดความสามารถในการรองรับปริมาณเที่ยวบิน ซึ่งวิทยุการบินฯ ได้จัดสร้างเส้นทางบินใหม่ให้เป็นแบบเส้นทางบินคู่ขนาน หรือ Parallel Route รวมถึงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานการเดินอากาศ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการการจราจรทางอากาศ อีกทั้งปรับปรุงระบบเทคโนโลยี ปรับปรุงโครงสร้างห้วงอากาศ และแนวทางบริหารจัดการ ให้สามารถรองรับปริมาณเที่ยวบินและนักท่องเที่ยวให้ได้รับบริการที่สะดวก รวดเร็ว และปลอดภัย นอกจากนี้ ได้เน้นย้ำให้วิทยุการบินฯ เตรียมความพร้อมระบบการบริหารจัดการจราจรทางอากาศใหม่ และจัดเตรียมสถานที่สำหรับติดตั้งระบบใหม่เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและขีดความสามารถในการรองรับปริมาณเที่ยวบินที่จะเพิ่มขึ้นในอนาคตซึ่งคาดการณ์ว่าจะมีเที่ยวบินประมาณ 2 ล้านเที่ยวบิน ในปี 2581 โดยให้เตรียมความพร้อมด้านบุคลากรปรับปรุงเส้นทางบินและออกแบบห้วงอากาศให้เหมาะสม รวมทั้งนำแนวทางปฏิบัติการบริหารจัดการความคล่องตัวการจราจรทางอากาศหรือ ATFM มาใช้บริหารจัดการเที่ยวบินและเตรียมวางระบบบริหารจราจรทางอากาศสำรอง (Off-site Backup) ตามแผนรองรับภาวะฉุกเฉินด้านบริการจราจรทางอากาศเพื่อให้บริการได้อย่างต่อเนื่องด้วยความปลอดภัยและมีประสิทธิภาพเป็นการขับเคลื่อนให้ประเทศไทยมีระบบการบริหารจัดการจราจรทางอากาศที่มีศักยภาพเป็นไปตามมาตรฐานและการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีการบินของโลก ส่งเสริมการท่องเที่ยวที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ที่มุ่งสู่การเป็นศูนย์กลางการบินในภูมิภาค (Aviation Hub)”
นายพิเชฐ คุณาธรรมรักษ์ ประธานคณะกรรมการ บริษัท วิทยุการบินแห่งประเทศไทย จำกัด (บวท.) กล่าวว่า วิทยุการบินฯ ได้เตรียมความพร้อมและกำหนดมาตรการให้บริการจราจรทางอากาศ ความพร้อมในการบริหารความคล่องตัวการจราจรทางอากาศ (Air Traffic Flow Management) เพื่อให้สามารถรองรับปริมาณการจราจรทางอากาศที่เพิ่มขึ้น และอำนวยความสะดวกให้กับทุกเที่ยวบินที่เข้ามาในน่านฟ้าไทยที่คาดว่าจะเพิ่มสูงขึ้น ให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และเกิดความปลอดภัยสูงสุด
โดยได้เตรียมแนวทางวิธีปฏิบัติการให้บริการจราจรทางอากาศ เพื่อรองรับการเพิ่ม ขีดความสามารถของสนามบิน ตามโครงการพัฒนาและขยายท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ระยะที่ 2 ได้แก่ การเปิดใช้งานอาคารเทียบเครื่องบินรองระยะไกล หลังที่ 1 หรือ SAT-1 และการใช้งานทางวิ่งเส้นที่ 3 ที่จะเปิดให้บริการฯ ในช่วงเดือนกันยายน 2567 รวมทั้งการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้งานทางวิ่ง หรือ High Intensity Runway Operation (HIROs) ซึ่งเป็นการจัดระยะห่างของอากาศยานขาเข้าและขาออก ให้ได้เทียบเท่าสนามบินชั้นนำของโลก ซึ่งจะทำให้สามารถรองรับปริมาณเที่ยวบินได้สูงสุดเท่าที่ขีดความสามารถของสนามบินจะรองรับได้ อีกทั้งได้นำเทคโนโลยีมาบริหารจัดการเที่ยวบินขาเข้า คือ ระบบ Arrival Manager (AMAN) และการจัดการเที่ยวบินขาออกด้วยระบบ Intelligent Departure (iDep) เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการบริหารความคล่องตัวการจราจรทางอากาศ และทำให้เที่ยวบินสามารถทำการบินได้ตรงเวลาตามตารางการบิน เพื่อให้สามารถรองรับปริมาณเที่ยวบินได้มากที่สุด
นายณพศิษฏ์ จักรพิทักษ์ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บวท.กล่าวว่า บวท. ได้ดำเนินโครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินภาคตะวันออก ระยะเริ่มต้น (Phase 0) เพื่อสนับสนุนการบิน มุ่งเน้นการขนส่งสินค้าทางอากาศจากเขตเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC) โดยเฉพาะเที่ยวบินจากจีน และการพัฒนาส่งเสริมให้ท่าอากาศยานอู่ตะเภาเป็นศูนย์ซ่อมบำรุงอากาศยานในอนาคต และจะทำให้เกิดศูนย์กลางการพัฒนาธุรกิจ โดยเฉพาะการเป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมท่องเที่ยว และ Logistics & Aviation ซึ่งได้นำแนวคิด Aerotropolis นี้มาจากต้นแบบ คือ สนามบินนานาชาติเฉิงตู เทียนฟู่ มาใช้ให้เกิดประโยชน์ ซึ่งการที่วิทยุการบินฯ ต้องให้บริการในระดับสากล จึงจำเป็นต้องมาศึกษาเรียนรู้ข้อมูล การพัฒนาเทคโนโลยี การบริหารจัดการสนามบินต่าง ๆ เพื่อพัฒนาบริการของวิทยุการบินฯ ในทุกด้านต่อไป