“ภูมิธรรม” หนุนคนตัวเล็ก และ SME ไทยปรับตัวรับกติกาการค้าโลกเปลี่ยน หลังคู่ค้าใช้มาตรการด้านสิ่งแวดล้อมเพิ่มมากขึ้น เตรียมเปิดตัวคลังความรู้ “พาณิชย์คิดค้าอย่างยั่งยืน” เป็นแหล่งข้อมูลทำธุรกิจ กฎ กติกา เทรนด์การค้า และข้อมูลที่จะช่วยสนับสนุนความยั่งยืน เพื่อให้ผู้ประกอบการได้เรียนรู้ ปรับตัว แสวงหาโอกาสทางการค้า และเป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและจีดีพีของไทย
นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า รัฐบาลและกระทรวงพาณิชย์ให้ความสำคัญต่อการปรับตัวและการเตรียมความพร้อมของภาคธุรกิจไทย เพื่อรับมือกับผลกระทบของมาตรการทางการค้า และแนวโน้มด้านความยั่งยืนของโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะกับคนตัวเล็กและ SME ของไทย จึงได้มอบหมายให้สำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) ดำเนินการสำรวจเกี่ยวกับมาตรการทางสิ่งแวดล้อมที่เกี่ยวข้องกับด้านการค้าจากทั่วโลก และได้ตั้งคณะอนุกรรมการเพื่อพัฒนาการค้าตามระเบียบการค้าโลกใหม่ เพื่อช่วยเหลือให้ SME ปรับตัวได้ มีความพร้อมในการรับมือกับมาตรการทางการค้า และเป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศและจีดีพีของประเทศต่อไป
ทั้งนี้ ล่าสุดได้รับรายงานจากนายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อำนวยการ สนค. ว่าได้มีการจัดทำคลังความรู้ “พาณิชย์คิดค้าอย่างยั่งยืน” เพื่อเป็นแหล่งข้อมูลสำหรับการทำธุรกิจ เผยแพร่ข้อมูลที่น่าสนใจ เช่น การดำเนินธุรกิจและการค้าที่ยั่งยืน เทรนด์การค้า กฎระเบียบของไทยและคู่ค้าสำคัญที่เกี่ยวข้อง ข้อมูลกิจกรรม สัมมนา และงานแสดงสินค้า หลักสูตรการเรียนรู้ทั้งออฟไลน์และออนไลน์ และข้อมูลสินค้าและร้านค้าที่สนับสนุนความยั่งยืน ซึ่งจะช่วยอำนวยความสะดวกแก่ผู้ประกอบการให้เข้าถึงข้อมูลเพื่อใช้ในการเรียนรู้ ปรับตัว และแสวงหาโอกาสทางการค้าจากความยั่งยืน ณ จุดเดียว ซึ่งกระทรวงพาณิชย์มีแผนจะเปิดตัวเร็วๆ นี้ บน www.คิดค้า.com
ปัจจุบันทั่วโลกตื่นตัวและให้ความสนใจกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน ทั้งทางด้านสังคม เศรษฐกิจ และสิ่งแวดล้อม ส่งผลต่อนโยบายด้านการค้า ซึ่งหลายประเทศนำมาใช้เป็นเครื่องมือในการส่งเสริมการพัฒนาที่ยั่งยืนอย่างแพร่หลาย เช่น
นโยบายกรีนดีลของสหภาพยุโรป (European Green Deal) มีกฎระเบียบหรือมาตรการที่เกี่ยวข้อง เช่น มาตรการปรับคาร์บอนก่อนข้ามพรมแดน (Carbon Border Adjustment Mechanism : CBAM) เพื่อลดความได้เปรียบด้านต้นทุนของสินค้าที่ผลิตในประเทศกำลังพัฒนา ซึ่งมีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูงกว่าสินค้าที่ผลิตจากประเทศที่มีมาตรการจัดการกับก๊าซเรือนกระจก ซึ่งมีผลบังคับใช้ตั้งแต่เดือน พ.ค. 2566 และปัจจุบันยังอยู่ในระยะเปลี่ยนผ่าน โดยจะเริ่มเก็บภาษีจากผู้นำเข้าในวันที่ 1 ม.ค. 2569 ในสินค้าไฟฟ้า ซีเมนต์ ปุ๋ย เหล็กและเหล็กกล้า อะลูมิเนียม และไฮโดรเจน
กฎหมายว่าด้วยสินค้าที่ปลอดจากการตัดไม้ทำลายป่า (Deforestation-Free Products Regulation : EUDR) เพื่อส่งเสริมการบริโภคผลิตภัณฑ์ที่ปลอดจากการตัดไม้ทำลายป่า และลดการมีส่วนร่วมของอียูในการตัดไม้ทำลายป่าและทำให้เกิดความเสื่อมโทรมของป่าทั่วโลก ครอบคลุมสินค้า 7 รายการ ได้แก่ วัว ไม้ ปาล์มน้ำมัน ถั่วเหลือง กาแฟ โกโก้ และยางพารา มีผลบังคับใช้ตั้งแต่ มิ.ย. 2566 ปัจจุบันยังอยู่ในระยะเปลี่ยนผ่านเช่นกัน โดยมีระยะเวลา 18 เดือน สำหรับผู้ประกอบการทั่วไป ถึงวันที่ 30 ธ.ค. 2567 และระยะเวลา 24 เดือน สำหรับผู้ประกอบการ SME ถึงวันที่ 30 มิ.ย. 2568
กฎหมายสอบทานธุรกิจด้านความยั่งยืน (Corporate Sustainability Due Diligence Directive : CSDDD) ซึ่งกำหนดให้ธุรกิจในอียูรวมถึงบริษัทจากประเทศที่สามที่ทำธุรกิจในอียู ที่มีจำนวนพนักงานไม่น้อยกว่า 1,000 ราย และมีรายได้จากทั่วโลกไม่น้อยกว่า 450 ล้านยูโรต่อปี ต้องจัดทำรายงานสอบทาน (Due Diligence) ความยั่งยืนตลอดห่วงโซ่อุปทานเกี่ยวกับการละเมิดสิทธิมนุษยชนและมาตรฐานด้านสิ่งแวดล้อม ซึ่งผู้ประกอบการไทยที่ส่งออกสินค้าไปอียูจะต้องเตรียมพร้อมในการให้ข้อมูลกับผู้นำเข้าฝั่งอียูเพื่อประกอบการจัดทำรายงานการสอบทานดังกล่าว
กฎหมายว่าด้วยการห้ามวางจำหน่ายสินค้าที่มาจากแรงงานบังคับ (Prohibiting Product Made with Forced Labour on The Union Market) ครอบคลุมสินค้าที่จำหน่ายทั้งหมดที่ผลิตในอียู เพื่อการบริโภคในประเทศและเพื่อการส่งออกและสินค้านำเข้า โดยจะห้ามจำหน่ายสินค้าที่มาจากแรงงานบังคับในตลาดอียู รวมทั้งห้ามนำเข้าส่งออกด้วย ทั้งนี้ หลังจากที่รัฐสภายุโรปได้อนุมัติกฎหมายทั้งสองฉบับดังกล่าวแล้ว จะมีการประกาศในรัฐกิจจานุเบกษาของสหภาพยุโรป ทำให้มีผลบังคับใช้อย่างเป็นทางการ จากนั้นประเทศสมาชิกอียูจะต้องออกกฎหมายภายใน โดยคาดว่าจะเริ่มใช้ในอีก 3 ปีข้างหน้า
นอกจากอียู ยังมีอีกหลายประเทศที่มีนโยบายในการออกกฎหมายหรือมาตรการทางการค้า เพื่อบรรลุเป้าหมายด้านความยั่งยืน เช่น สหรัฐฯ สหราชอาณาจักร ออสเตรเลีย และแคนาดา มีแนวคิดจะใช้มาตรการปรับคาร์บอนก่อนข้ามพรมแดนเช่นกัน จึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่ภาคธุรกิจไทยจะต้องเร่งปรับตัวสู่ความยั่งยืน ซึ่งเป็นกระแสหลักของโลก และยิ่งไปกว่านั้น ไทยยังเป็นประเทศเกษตรกรรมและประเทศผู้ส่งออกสินค้าเกษตรและอาหารที่สำคัญของโลก มาตรการด้านสิ่งแวดล้อม ที่ส่วนใหญ่ถูกนำไปใช้กับสาขาเกษตรกรรม ย่อมส่งผลกระทบอย่างแน่นอน
ขณะเดียวกัน ไทยก็อยู่ระหว่างจัดทำร่าง พ.ร.บ.การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ พ.ศ. ... ที่จะเป็นกลไกส่งเสริมการลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและการปรับตัวต่อผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่มีประสิทธิภาพ ซึ่งมีผลกระทบต่อภาคธุรกิจอย่างแน่นอน ถ้าเริ่มเรียนรู้ ปรับตัวเพื่อแสวงหาโอกาสจากกระแสดังกล่าว และเตรียมรับมือกับผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น อาทิ ปรับปรุงกระบวนการผลิตสู่ความเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ปฏิบัติตามมาตรฐานด้านสิ่งแวดล้อมและแรงงาน ก็จะเป็นแต้มต่อ ช่วยสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับธุรกิจด้วย