SCGP เร่งปิดดีล M&P 1 โครงการภายในไตรมาส 2 นี้ หนุนรายได้ปี 67 โตตามเป้าหมาย 15% แตะราว 1.5 แสนล้านบาท ปลื้มผลดำเนินงานไตรมาส 1/67 มีรายได้จากการขาย 33,948 ล้านบาท และมีกำไร 1,725 ล้านบาท เติบโต 41% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
นายวิชาญ จิตร์ภักดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอสซีจี แพคเกจจิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ SCGP เปิดเผยว่า แผนการลงทุนในไตรมาส 2/2567 บริษัทจะพยายามปิดดีลควบรวมกิจการและร่วมมือกับพันธมิตร (Merger & Partnership:M&P) ให้แล้วเสร็จ 1 โครงการ ซึ่งเป็นโครงการที่มีการเจรจามาแต่ดีเลย์ก่อนหน้านี้
ทั้งนี้ งบลงทุนในปีนี้บริษัทตั้งไว้ที่ 15,000 ล้านบาท แบ่งเป็นงบลงทุนเพื่อสร้างการเติบโตเพื่อขยายกำลังการผลิต และทำ M&P ประมาณ 10,000 ล้านบาท โดยธุรกิจที่มีศักยภาพการเติบโต เช่น ธุรกิจบรรจุภัณฑ์สินค้าอุปโภคบริโภค ธุรกิจบรรจุภัณฑ์กระดาษ ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพและวัสดุอุปกรณ์ทางการแพทย์ ฯลฯ เพื่อรองรับความต้องการใช้บรรจุภัณฑ์ที่มีแนวโน้มฟื้นตัวต่อเนื่องจากภาคการผลิตและส่งออก ส่วนงบลงทุนที่เหลืออีก 5,000 ล้านบาทใช้สำหรับการบำรุงรักษา การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและอื่นๆ โดยในไตรมาส 1/2567 บริษัทใช้งบลงทุนไปแล้ว 1,491 ล้านบาท
นอกจากนี้ บริษัทเตรียมเข้าถือหุ้นเพิ่มใน PT Fajar Surya Wisesa Tbk. (Fajar) ซึ่งเป็นผู้นำธุรกิจกระดาษบรรจุภัณฑ์ในอินโดนีเซีย ซึ่ง SCGP มีพันธสัญญาที่จะต้องซื้อหุ้นส่วนที่เหลือ 44.48% ในช่วงเดือนมิถุนายนนี้จากผู้ถือหุ้นเดิมภายในกลางปีนี้ โดยบริษัทได้เตรียมเงินไว้แล้ว 500 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งอินโดนีเซียเป็นประเทศที่มีศักยภาพ ขณะนี้บริษัทอยู่ระหว่างการหาพาร์ตเนอร์ที่จะเข้ามาร่วมทุน โดยมีผู้ที่สนใจ 2-3 รายแต่ให้ราคาต่ำไปหน่อย อยากให้ราคาสูงขึ้นกว่านี้ซึ่งยังพอมีเวลา
นายวิชาญกล่าวว่า แนวโน้มผลประกอบการในไตรมาส 2/2567 คาดว่าจะยังเติบโตขึ้นเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน แม้ว่าจะมีวันหยุดเยอะในเทศกาลสงกรานต์ของไทยและวันฮารีรายอในอินโดนีเซีย แต่พบว่าดีมานด์ผลิตภัณฑ์ยังคงเติบโตต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม ปัจจัยที่ต้องจับตามองคือสถานการณ์สงครามที่จะทำให้ค่าระวางเรือและค่าพลังงานปรับสูงขึ้น ขณะที่แนวโน้มราคาเศษกระดาษก็ปรับตัวสูงขึ้น แต่บริษัทสามารถปรับราคาขายขึ้นตามได้ ทำให้ทั้งปี 2567 บริษัทมั่นใจมีรายได้รวมจะเติบโตตามเป้าหมายที่ตั้งไว้อยู่ที่ 1.5 แสนล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 15% เมื่อเทียบกับปีก่อน
สำหรับผลประกอบการในไตรมาสที่ 1 ของปี 2567 SCGP มีรายได้จากการขาย 33,948 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน จากปริมาณขายที่เพิ่มขึ้นทั้งสายธุรกิจบรรจุภัณฑ์แบบครบวงจรและสายธุรกิจเยื่อและกระดาษ มี EBITDA 5,151 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 15% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และกำไรสำหรับงวด 1,725 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 41% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
“ภาพรวมอุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์ในภูมิภาคอาเซียนฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง จากปัจจัยด้านเศรษฐกิจ ภาคการผลิต การส่งออก การท่องเที่ยวของไทยที่ดี ส่งผลให้ภาคอุตสาหกรรมต่างๆ ใช้บรรจุภัณฑ์เพิ่มขึ้น โดยธุรกิจบรรจุภัณฑ์แบบครบวงจรมียอดขายเติบโตทุกกลุ่มสินค้า และเริ่มเห็นสัญญาณฟื้นตัวของบรรจุภัณฑ์สินค้าคงทน เช่น เสื้อผ้า รองเท้า จากอัตราเงินเฟ้อที่ลดลง ขณะที่ธุรกิจกระดาษบรรจุภัณฑ์ได้รับปัจจัยบวกจากความต้องการในประเทศและการส่งออกในบางพื้นที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในเอเชียใต้ ส่วนธุรกิจเยื่อและกระดาษ มียอดขายบรรจุภัณฑ์อาหารเพิ่มขึ้นจากปัจจัยการท่องเที่ยวฟื้นตัวรวมถึงต้นทุนวัตถุดิบมีแนวโน้มค่อยๆ ปรับตัวเพิ่มขึ้นตามความต้องการบรรจุภัณฑ์ที่สูงขึ้น ต้นทุนด้านพลังงานอยู่ในระดับทรงตัว ขณะที่ค่าขนส่งปรับตัวสูงขึ้นตั้งแต่ช่วงต้นปีท่ามกลางความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ในตะวันออกกลาง”
การเติบโตผ่านการขยายกำลังการผลิต ในเดือนมีนาคมที่ผ่านมา SCGP ประสบความสำเร็จในการขยายกำลังการผลิตบรรจุภัณฑ์กระดาษลูกฟูกในจังหวัดสมุทรสาครและสมุทรปราการ โดยมีกำลังการผลิตส่วนเพิ่ม 75,000 ตันต่อปี คิดเป็น 9% ของกำลังการผลิตเดิมในประเทศไทย ด้วยเทคโนโลยีการผลิตและการพิมพ์ที่ทันสมัย เช่น ระบบหุ่นยนต์ (Robotic) ระบบการทำงานอัตโนมัติ (Automation) และแอปพลิเคชันสำหรับการพิมพ์ ฐานการผลิตแห่งใหม่นี้ตั้งอยู่ใกล้กับฐานการผลิตสินค้าแช่แข็งส่งออก ทำให้สามารถรองรับและตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้เพิ่มขึ้น และช่วยสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขันด้านต้นทุนค่าขนส่ง