xs
xsm
sm
md
lg

ตลาด “บิวตี้ลักชูรี่” แข็งแกร่งแข่งดุ “BFF” เพิ่ม “แบรนด์-งบ” ลุ้นเป้า 450 ล.

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ผู้จัดการรายวัน 360 - ตลาดบิวตี้ลักชูรี่เติบโตพุ่งหลังโควิด ไม่สนว่าแพงแค่ไหน แต่ถ้าดีจริงพร้อมเปย์ ชี้เทรนด์ Quiet Luxury ดันผลิตภัณฑ์ นีช บิวตี้ ลักชูรี่ เป็นที่ต้องการมาก "BFF" ตอกย้ำบัลลังก์ “ร้านมัลติแบรนด์เพื่อความงาม และไลฟ์สไตล์ครบวงจร ระดับลักชูรี่แห่งแรกในประเทศไทย” อับงบตลาดเพิ่ม 60% สร้างการรับรู้ เพิ่มฐานลูกค้าใหม่ๆ พร้อมต่อยอดทำเฮ้าส์แบรนด์ มั่นใจรายได้แตะ 450 ล้านบาท โตอีก 26%


นางสาวศจิกา ทองสุข ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โอซี เทรดดิ้ง (ประเทศไทย) จำกัด และผู้ก่อตั้ง BFF ร้านมัลติแบรนด์ และผู้จัดจำหน่ายสกินแคร์ เครื่องสำอาง สินค้าไลฟ์สไตล์ นิช และลักชัวรี่ เปิดเผยว่า เทรนด์การดูแลความงามและสุขภาพในระดับพรีเมี่ยมตื่นตัวขึ้นมาก หลังจากสถานการณ์โควิด-19 ได้คลี่คลายลง เนื่องจากผู้บริโภคเกิดความมั่นใจที่จะตัดสินใจจับจ่ายสินค้าบิวตี้และไลฟ์ไตล์ลักชัวรี่มากขึ้น แม้สินค้าจะมีราคาแพง แต่ถ้าของดีจริง ก็พร้อมที่จะจ่าย

ทั้งนี้ยังพบด้วยว่า ตลาดบิวตี้ลักชูรี่มีการเติบโตสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง เป็นตลาดที่มีความแข็งแกร่ง แต่การแข่งขันก็สูงตาม ทำให้เกิดสงครามราคา หรือโปรโมชั่นตัดราคามากมาย อย่าง เช่น แคมเปญ Double Day ก็มีทุกเดือน นอกจากนี้ยังมีโปรโมชั่นลด แลก แจก แถม อย่าง 1 แถม1 จนไปถึง 1 แถม 10 ก็มีให้เห็นมากขึ้น


แต่เหนือความลักชูรี่ ยังมีนิช ลักชูรี่ ที่กำลังมาแรง ส่วนสำคัญเกิดจากกระแสโลกโซเชียล ที่มีการรีวิว แนะนำ และบอกต่อ เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์หรือแบรนด์ระดับลักชูรี่ และหาซื้อยาก คนไทยยังไม่ค่อยรู้จัก บวกกับมีรีวิว ทำให้เกิดความอยากมีไว้ครอบครอง เรียกได้ว่าเป็นหนึ่งในเทรนด์ Quiet Luxury ที่กำลังเป็นกระแสอยู่ตอนนี้

“BFF ถือเป็นร้านมัลติแบรนด์ ที่จัดจำหน่ายสกินแคร์ เครื่องสำอาง และสินค้าไลฟ์สไตล์ ระดับลักชูรี่ และนิช ลักชูรี่ และถือเป็นร้าน บิวตี้ มัลติแบรนด์แรกของไทย โดยเราเน้นแบรนด์ระดับนิช ลักชูรี่จริงๆ เช่น 111SKIN, Evidens de Beaute, CellCosmet, Philip B, Oribe และอีกมากมายจากทั่วทุกมุมโลก ระดับราคาสินค้ามีตั้งแต่หลักพันไปจนถึงหลายหมื่นบาท และลูกค้ามีตั้งแต่กลุ่มนักศึกษาจนถึงผู้สูงอายุ ที่มีรายได้ระดับ B+ ขึ้นไป การใช้จ่ายต่อครั้งไม่ต่ำกว่า 8,000 บาทขึ้นไป สินค้าของ BFF จึงจัดอยู่ในกลุ่ม Quiet Luxury กับนิยามของความหายาก ดี และแตกต่าง รวมถึงราคาแพง ทาง BFF จึงไม่ได้เน้นเรื่องสงครามราคา แต่เน้นเรื่องการสร้างการรับรู้ และลอยัลตี้ เป็นหลัก“


อย่างไรก็ตาม ในปี 2567 นี้ บริษัทพร้อมใช้งบตลาดเพิ่มขึ้น 60% จากปีก่อนใช้ไป 20 ล้านบาท มุ่งสร้างการรับรู้ให้เป็นที่รู้จักในวงกว้างมากขึ้น เพื่อเพิ่มฐานลูกค้าใหม่ๆ เข้ามา และมุ่งสร้างความแข็งแกร่งให้กับแบรนด์ผ่านการรับรู้ของกลุ่มลูกค้าด้วยกิจกรรมการตลาดที่ออกแบบมาเพื่อลูกค้าแต่ละคนโดยเฉพาะ รวมทั้งเปิดตัววิดีโอชุดพิเศษ "นิยามของคำว่าเพื่อนสนิท เพื่อนสนิทสายบิวตี้ - BFF Best Friend Forever ซึ่งจะออกอากาศทางสื่อออนไลน์ทั่วประเทศตั้งแต่วันที่ 6 มี.ค. เป็นต้นไป เพื่อเข้าถึงฐานลูกค้าที่มีรายได้สูง และสนใจในผลิตภัณฑ์และบริการเพื่อความงามในระดับนิช และลักชูรี่มากขึ้น

นอกจากนี้บริษัทมีแผนขยายธุรกิจสินค้าเฮ้าส์แบรนด์ อย่างน้อย 2 แบรนด์ในปีนี้ คือ 1.บอดี้ครีม หรือผลิตภัณฑ์บำรุงผิวกาย และ2.ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ด้านผิวพรรณ การชะลอวัย ที่ต้องทานร่วมกับแบรนด์หลักที่เรานำเข้ามาจึงจะเกิดผลที่ดียิ่งขึ้น

ปัจจุบันบริษัทมีร้าน BFF อยู่ 8 สาขาทั่วกรุงเทพฯ เป็นร้านที่รวบรวมผลิตภัณฑ์สกินแคร์ เมคอัพ อาหารเสริม และไลฟ์สไตล์ระดับลักชูรี่ มากถึง 58 แบรนด์จากทั่วทุกมุมโลก อาทิ 111SKIN, Evidens de Beaute, CellCosmet, Philip B, Oribe และอีกมากมาย ซึ่งไม่มีแผนเปิดสาขาเพิ่ม เพราะมองว่าด้วยความที่เราเป็นนิช ลักชูรี่ แบรนด์ การอยู่ถูกที่ ..สำคัญกว่าอยู่ทุกที่


นอกจากนี้ยังมีคลินิกเพื่อสุขภาพ ความงาม และการชะลอวัย ภายใต้ชื่อ "TheWeliness by BFF" 1 แห่ง ที่ BFF สาขาทองหล่อ เปิดช่วงต้นปีก่อน ทำรายได้ไป 23 ล้านบาท ปีนี้จะเน้นสร้างรายได้มากขึ้น ตั้งเป้า 50 ล้านบาท จากนั้นจึงจะพิจารณาเพิ่มสาขาใหม่ อีกทั้งยังมุ่งพัฒนาช่องทางออนไลน์ในการจัดจำหน่ายอย่างครบวงจร ทั้งอีคอมเมอร์ซ ผ่านทางเว็บไซต์ bffbangkok.com, Facebook, LINE OA, Instagram, TiKTok, ร้าน BFF Official Store ทาง Lazada และ Central Online

นางสาวศจิกา กล่าวทิ้งท้ายว่า ปีนี้มั่นใจว่าจะมีรายได้รวมเติบโตขึ้น 26% หรือคิดเป็นมูลค่าไม่ต่ำกว่า 450 ล้านบาท จากในปีที่ผ่านมา บริษัทปิดยอดรวมได้ 362 ล้านบาท โตขึ้น 29% และมีกำไร 35 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 125% โดยรายได้หลักๆ มาจาก 1.ธุรกิจค้าปลีก ที่นำเข้ามาจัดจำหน่าย 87% คิดเป็นมูลค่าประมาณ 317 ล้านบาท 2.รายได้จากธุรกิจใหม่ๆ อีก 13% หรือกว่า 45 ล้านบาท ได้แก่ คลินิกเพื่อสุขภาพ ความงาม และการชะลอวัย ภายใต้ชื่อ 'The Wellness by BFF‘ หรือสามารถแบ่งรายได้ ออกเป็น 5 กลุ่ม คือ 1.สกินแคร์/เมคอัพ 50%, 2.ซัพพลีเม้นท์/อาหารเสริม 30%, 3.แฮร์/บอดี้ 10%, 4.เวลเนส/ไลฟ์สไตล์ 10% และที่เหลือมาจาก 5. mom & baby ที่พึ่งเริ่มทำช่วงปลายปีก่อน.






กำลังโหลดความคิดเห็น