xs
xsm
sm
md
lg

หนังไทยโกยพันล.แซงฮอลลีวู้ด ช่อง3 ผนึกเอ็มสตูดิโอทุ่ม 100 ล. ลุย

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ผู้จัดการรายวัน 360 - ช่อง 3 จัดเต็มธุรกิจภาพยนตร์ หวังเป็นขาทองคำสร้างรายได้หลักในอนาคต ล่าสุดพร้อมควงแขน ‘เอ็มสตูดิโอ’ ทุ่มงบร่วม 100 ล้านบาท ลุยหนังไทย 2 เรื่อง คือ มานะแมน และ ธี่หยด 2 มั่นใจรายได้ต้องดีกว่าเดิม และช่วยดันอุตสาหกรรมหนังไทยให้มีมูลค่าสูงกว่าหนังฮอลลีวู้ดอีกครั้ง

นางสาวเทรซี แอนน์ มาลีนนท์ ผู้ช่วยประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการกลุ่ม บริษัท บีอีซี เวิลด์ จำกัด (มหาชน) หรือ ช่อง 3 เปิดเผยว่า ช่อง 3 มีความมุ่งมั่นที่จะเป็นผู้ผลิตและเป็นผู้นำทางด้าน Entertainment Platform โดยนำเสนอคอนเทนต์ภายใต้กลยุทธ์ Single Content Multiple Platform ที่สามารถเดินทางไปได้หลายๆ แพลตฟอร์ม รวมถึงคอนเท้นต์ภาพยนตร์ก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทางช่อง 3 ให้ความสำคัญ

ส่งผลให้ปีนี้พร้อมจับมือกับเอ็มสตูดิโอ ผลิตภาพยนตร์ 2 เรื่อง คือ มานะแมน และธี่หยด 2 เชื่อมั่นว่าจะประสบความสำเร็จและทำรายได้ได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะ ธี่หยด 2 น่าจะประสบความสำเร็จเช่นภาคแรก ซึ่งมีแผนที่จะทำเป็นแฟรนไชส์ภาคต่อๆ ไปในอนาคตด้วย โดยคอนเท้นต์ภาพยนตร์นี้ทางช่อง 3 คาดหวังว่าจะเป็นอีกหนึ่งธุรกิจที่จะกลายมาเป็นรายได้หลักได้ในอนาคต
 
“เมื่อ 20 ปีก่อน ช่อง 3 เคยเป็นผู้เล่นในธุรกิจภาพยนตร์ ภายใต้บริษัท ฟิล์มบางกอก จำกัด และมีหนังที่เข้าฉาย เช่น ฟ้าทะลายโจร บางระจัน รวมถึง บางกอกแดนเจอรัส และจากแผนธุรกิจในฐานะผู้นำและผู้ผลิตคอนเท้นต์ จึงให้ความสำคัญกับคอนเท้นต์ภาพยนตร์อีกครั้ง โดยได้กลับมาทำอย่างจริงจังในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา เริ่มจากเรื่องปี 65 มี 1 เรื่อง คือ บัวผันฟันยับ ทำรายได้ 200 กว่าล้านบาท และปี 66 กับเรื่อง ธี่หยด ที่จับมือกับทางเอ็มสตูดิโอ ทำรายได้มากกว่า 500 ล้านบาท ซึ่งประสบความสำเร็จอย่างมาก”
ปีนี้ช่อง 3 จึงพร้อมร่วมทุนกับทางเอ็มสตูดิโออย่างต่อเนื่อง ในรูปแบบกิจการร่วมค้า ในการจับมือกันผลิตภาพยนตร์ไทยออกมาอีก 2 เรื่อง ด้วยงบลงทุนร่วม 100 ล้านบาท มั่นใจว่าจะได้รับการตอบรับที่ดีและมีรายได้มากกว่าปีก่อน

“ สำหรับไลน์อัพภาพยนตร์ที่จะฉายในปีนี้จะมีภาพยนตร์ที่ร่วมผลิตกับทาง M Studio 2 เรื่อง คือ 1. "มานะแมน" สร้างสรรค์โดยยอร์ซ ฤกษ์ชัย และ กำกับการแสดงโดยต้อม ปียะพันธ์ ชูเพชร นำแสดงโดย นาย-ณภัทร เสียงสมบุญ พระเอกของทางช่อง 3 ร่วมด้วย โอ๊ต-ปราโมทย์ ปาทาน และ จ๊ะ-นงผณี มหาดไทย นักร้องนักแสดงชื่อดัง และจะเข้าฉายในช่วงกลางปีนี้ 2. "ธี่หยด 2" ควบคุมการผลิตโดยทีมงาน ณฤทธิ์ ยุวบูรณ์ และกำกับการแสดงโดย คุ้ย-ทวีวัฒน์ เช่นเดิม แต่ครั้งนี้จะกลับมาอย่างสนุกกว่าเดิม สยองกว่าเดิม และยังคงได้พบกับเฮียยักษ์ขวัญใจคอหนัง ณเดชน์ คูกิมิยะ พระเอกที่แฟนๆ ทุกคนรัก พร้อมด้วยดาวรุ่งดวงใหม่ของช่อง 3 เดนิส เจลีลชา, จูเนียร์ กาจบัณฑิต และเฟรนด์ พีระกฤตย์ ซึ่งอยู่ในระหว่างการถ่ายทำ และมีกำหนดฉายช่วงปลายปีนี้ และจะเข้าฉายในระบบ IMAX เช่นเดียวกับธี่หยดภาคแรกแน่นอน

ด้านนายสุรเชษฐ์ อัศวเรืองอนันต์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอ็มสตูดิโอ จำกัด ในเครือ เมเจอร์ กล่าวต่อว่า ปีที่ผ่านมาบริษัทจับมือกับทางช่อง 3 ผลิตภาพยนตร์ไทย 1 เรื่อง คือ ธี่หยด ซึ่งประสบความสำเร็จอย่างมาก ส่งผลให้ปีนี้พร้อมจับมือผลิตภาพยนตร์ไทยร่วมกันเพิ่มเป็น 2 เรื่อง ซึ่งตามแผนธุรกิจตั้งใจที่จะจับมือผลิตภาพยนตร์ไทยร่วมกันอย่างต่อเนื่อง เฉลี่ย 1-3 เรื่องต่อปี
 
“แนวทางการผลิตภาพยนตร์ไทยของทางเอ็มสตูดิโอ มีทั้งผลิตเองและร่วมกับผลิตกับพันธมิตร แต่จะเน้นร่วมผลิตเป็นหลัก ซึ่งปีที่ผ่านมามีกว่า 10 เรื่อง ขณะที่รายได้รวมอยู่ที่ประมาณ 1,000 ล้านบาท ส่วนปีนี้ตามแผนน่าจะมีถึง 20 เรื่อง ซึ่งรายได้ก็น่าจะเพิ่มเป็นเท่าตัวเช่นกัน”

ขณะที่การร่วมมือกับทางช่อง 3 ถือเป็นการนำจุดแข็งของทั้ง 2 ฝ่ายมาใช้ ไม่ว่าจะเป็นด้านดารา ซุปตาร์ช่อง 3 ที่เข้าถึงคนไทยทั่วประเทศ ทุกเพศทุกวัย มีแฟนคลับเหนียวแน่น มีสื่อทีวีหรือช่อง 3 ที่แข็งแกร่ง และยังเป็นผู้นำผลิตคอนเท้นต์ ส่วนเอ็มสตูดิโอ ก็มีจุดแข็งที่มีสื่อโรงภาพยนตร์ของตัวเอง คือ เครือเมเจอร์ และจุดแข็งที่เกี่ยวเนื่องกับภาพยนตร์ จึงเป็นการจับมือกันที่จะช่วยสร้างภาพยนตร์ไทยที่มีคุณภาพออกมาให้ได้ชมกัน รวมถึงต่อยอดในการส่งออกและหารายได้ในช่องทางอื่นๆ ได้อีกด้วย

นายสุรเชษฐ์ กล่าวต่อด้วยว่า ทางเมเจอร์มุ่งหวังที่จะเห็นอุตสาหกรรมภาพยนตร์เติบโตอย่างมีศักยภาพ รวมถึงทำรายได้มากกว่ากลุ่มภาพยนตร์ฮอลลีวู้ด ซึ่งในปีที่ผ่านมาถือเป็นปีแรกที่กลุ่มภาพยนตร์ไทยทำรายได้รวมกันสูงกว่ากลุ่มภาพยนตร์ฮอลลีวู้ดในอัตราส่วน 55% : 45% ปัจจัยสำคัญมาจากภาพยนตร์เรื่อง ธี่หยด ที่เข้าฉายในไตรมาสสุดท้ายของปีที่ผ่านมา ส่งผลให้อุตสาหกรรมภาพยนตร์ไทยเติบโตขึ้นแบบก้าวกระโดด

โดยในปี 2566 มีภาพยนตร์ไทย 3 เรื่องที่ทำรายได้สูงสุดในไตรมาสสุดท้าย โดยทำรายได้รวมกันได้มากกว่า 1,000 ล้านบาท และจำนวนบัตรชมภาพยนตร์มากกว่า 10 ล้านใบ ประกอบด้วย 1.สัปเหร่อ ทำรายได้ กว่า 700 ล้านบาท จำนวนตั๋วหนังกว่า 6 ล้านใบ 2.ธี่หยดทำรายได้กว่า 500 ล้านบาท จำนวนตั๋วหนังกว่า 4 ล้านใบ และ3. 4 Kings 200 ล้านบาท จำนวนตั๋วหนังกว่า 2 ล้านใบ
 
“ทิศทางหนังโลคอลกำลังเติบโต และได้รับความนิยมดีกว่าหนังฮอลลีวู้ด ซึ่งเกิดขึ้นในช่วงโควิดกับช่องทางออนไลน์ กระแสหนังโลคอลจึงดีขึ้นเรื่อยๆ และเป็นเทรนด์ที่เกิดขึ้นทั่วโลก สำหรับกลุ่มหนังไทยเชื่อว่ายังมีโอกาสเติบโตได้อีกมาก เพราะปัจจุบันจำนวนหนังไทยมีเข้าฉายเพียงปีละไม่กี่สิบเรื่อง จากทั้งหมด 200-300 เรื่องต่อปี หรือปริมาณหนังไทยมีสัดส่วนเพียง 20% และหนังฮอลลีวู้ดที่มี 80%“ นายสุรเชษฐ์ กล่าว
กำลังโหลดความคิดเห็น