xs
xsm
sm
md
lg

SNNP รื้อแผน 5 ปี ปรับเป้าเพิ่ม ชิงตลาดเสริมอาหาร 8.7 หมื่นล.

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ผู้จัดการรายวัน 360- SNNP ยืนหนึ่งเรื่องเยลลี่ แตกไลน์ธุรกิจที่ 3 พร้อมลุยตลาดเสริมอาหารเต็มกำลัง ส่ง ”เจเล่ฟิตต์” กรุยตลาด ลั่นใน 3-5 ปี สร้างรายได้ 3% ให้รายได้รวมทั้งปี ส่วนปีนี้มั่นใจเติบโต 2 หลักต่อเนื่อง จากปีก่อนปิดรายได้ 6,016 ล้านบาท โต 8% ลั่นขอปรับแผนใหม่ ปักธง 5 ปีจากนี้ รายได้ทะลุ 12,000 ล้านบาท หรือโตปีละ 10% ต่อเนื่อง


นายวิโรจน์ วชิรเดชกุล รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส สายงานธุรกิจในประเทศ บริษัท ศรีนานาพร มาร์เก็ตติ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ SNNP เปิดเผยว่า สถานการณ์เศรษฐกิจในปีนี้มองว่าจะยังคงอยู่ในช่วงชะลอตัว ซึ่งเป็นความท้าทายของผู้ประกอบการที่จะต้องหากลยุทธ์มาขับเคลื่อนให้ธุรกิจมีการเติบโต

เช่นเดียวกับตลาดขนมขบเคี้ยวมูลค่า 43,000 ล้านบาท ที่มีการเติบโตเฉลี่ย 3-5% แต่กลุ่มมันฝรั่งทอดกลับไม่โต เมื่อเจาะลึกลงไปจะพบว่ามันฝรั่งทอดแบบซองเล็ก หรือขนาดราคา 5 -10 บาท ยังขายดี แต่ซองใหญ่ราคาแพงกลับขายไม่ได้ นั่นเพราะกำลังซื้อไม่มีเงิน ยิ่งต่างจังหวัดยิ่งเห็นภาพชัด


ในส่วนของ SNNP ที่ผ่านมามีสินค้าอยู่ 2 กลุ่ม คือ 1.สแนก คิดเป็นสัดส่วน 57% 2.เบฟเวอเรจ 23% โดยมี เจเล่ เป็นผู้นำในตลาดเยลลี่ ด้วยแชร์ 78% ปีที่ผ่านมายอดขาย โต 21% สูงกว่าตลาดที่โต 20%

จากจุดแข็งนี้ส่งผลให้บริษัทมีความพร้อมสร้าง New S-Curve กับธุรกิจใหม่ ลงทุนพัฒนาสินค้าใหม่ในกลุ่มของผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร (Supplementary) ภายใต้แบรนด์ ”เจเล่ฟิตต์” (Jele Fitt) ครั้งแรกของผลิตภัณฑ์เสริมอาหารในรูปแบบเยลลี่รสผลไม้ ที่ถูกพัฒนาเพื่อให้เหมาะกับคนแต่ละช่วงอายุที่แตกต่างกัน ได้แก่ ผลิตภัณฑ์สำหรับวัย 20-29 ปี, สำหรับวัย 30-39 ปี และสำหรับวัย 40-49 ปี ราคาซองละ 15 บาท (1 ซอง บรรจุ 27 กรัม) วางจำหน่ายที่ร้านสะดวกซื้อ 7-11 และร้านค้าชั้นนำทั่วไป เจาะตลาดพรีเมียมแมส เน้นสื่อสารการตลาดผ่าน KOL สายบุคลาการทางการแพทย์และไลฟ์สไตล์ เพื่อเข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย ปัจจุบันตลาดเสริมอาหารมีมูลค่ากว่า 87,000 ล้านบาท และมีอัตราการเติบโต 10% โดยแบ่งออกเป็น กลุ่มเสริมอาหารที่เน้นคุณประโยชน์สุขภาพโดยรวม 29% คิดเป็นมูลค่า 25,230 ล้านบาท

จากการศึกษาทำให้ทราบถึงความต้องการของผู้บริโภค จึงได้พัฒนาสินค้าเพื่อตอบสนองความต้องการ ซึ่งยังไม่มีใครนำเสนอในตลาด และสิ่งที่เราค้นพบคือผู้บริโภคในแต่ละช่วงอายุ มีความต้องการ อาหารเสริมในปริมาณที่ไม่เท่ากัน โดยสินค้าอาหารเสริมที่เหมาะสมตามช่วงอายุ ได้ถูกพัฒนาและวางขาย ในต่างประเทศมาหลายปีแล้วและได้รับการยอมรับเป็นอย่างดี


สำหรับแนวความคิดในการออกแบบสินค้า คือร่างกายคนเรามีความแตกต่างไม่เหมือนกัน และมีความต้องการสารอาหารที่แตกต่างกันไปในแต่ละช่วงวัย ด้วยปัจจัยดังกล่าวจึงกำหนดกลยุทธ์เป็น New S Curve ของ SNNP เพื่อการเติบโตอย่างก้าวกระโดดในปี 2567 ทางบริษัทจึงนำมาพัฒนาสินค้าภายใต้แบรนด์ เจเล่ฟิตต์ และเป็นครั้งแรกที่ SNNP วางตลาดสินค้าเสริมอาหารเสริมในตลาด premium mass market

“เจเล่ฟิตต์ ถือเป็นสินค้ากลุ่มแรกของธุรกิจเสริมอาหาร ซึ่งปีนี้จะมีพัฒนาและวางจำหน่ายอีก 2-3 ตัว เน้นในส่วนของเยลลี่ก่อน จากนั้นอาจจะเป็นกลุ่มเบฟเวอเรจที่เราทำอยู่ ซึ่งปีนี้มองว่าน่าจะทำยอดขายได้ร่วม 200 กว่าล้านบาท และใน 3-5 ปี จะได้เห็นกลุ่มเสริมอาหารทำรายได้ในสัดส่วน 3% ของรายได้รวมบริษัท” นายวิโรจน์ กล่าว

อย่างไรก็ตามจากกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจในปีนี้คาดว่าทั้งปีบริษัทจะมีรายได้รวมเติบโตเป็นตัวเลข 2 หลัก เทียบจากปี 2566 ที่มีรายได้รวม 6,016 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 445 ล้านบาท หรือโต 8% มีกำไรสุทธิ 636 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 120 ล้านบาท หรือโตขึ้น 23% สร้างสถิติสูงสุดใหม่ต่อเนื่อง


ด้านนายศุภโชค บำรุงพันธ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายงานบัญชีและการเงิน กล่าวว่า จากปี 2565 ที่ให้ความสำคัญกับกลยุทธ์การขายมากขึ้น ภายใต้จุดแข็งของสินค้า ช่องทางจำหน่าย และการออกสินค้าใหม่ ทั้งในกลุ่มสแนกและเบฟเวอเรจ ทำให้ ปี2565 รายได้รวมโต 30% ส่งต่อเนื่องมาถึงปี 2566 ที่ยังเติบโตได้ดี หรือโตขึ้นอีก 8% ซึ่งรายได้ในปี 2566 นี้ มาจากสินค้า 2 กลุ่มหลัก คือ 1.สแนก 57% คิดเป็นมูลค่า 3,403 ล้านบาท โต 9% และ2.เบฟเวอเรจ ทำรายได้ 43% หรือคิดเป็นมูลค่า 2,613 ล้านบาท โต 7% และเมื่อแยกรายได้ออกเป็น 1.ในประเทศ จะมีสัดส่วนถึง 73% คิดเป็นมูลค่า 4,392 ล้านบาท ละ2.ส่งออก 27% คิดเป็นมูลค่า 1,624 ล้านบาท ตลาดหลัก คือ เวียดนาม ที่เข้าไปตั้งโรงงานเรียบร้อยแล้ว จากนี้จะเน้นจีน เกาหลี ญี่ปุ่น รวมถึง อินเดีย ให้มากขึ้น

“ตามแผน 5 ปีเดิม หรือจากปี 2564 -2569 จะต้องมีรายได้ 8,000 ล้านบาท มาจากในประเทศ 5,300 ล้านบาท (เจเล่ 2,000 ล้านบาท, เบนโตะ 1,800 ล้านบาท,โลตัส 900 ล้านบาท และเครื่องดื่ม 600 ล้านบาท) และส่งออก 2,700 ล้านบาท แต่จากการเติบโตต่อเนื่อง และแผนธุรกิจใหม่ๆ รวมถึงโฟกัสตลาดส่งออกมากขึ้น ทางบริษัทจึงได้ปรับแผน 5 ปีใหม่ เริ่มตั้งแต่ปี 2567 - 2571 จะต้องรายได้ทะลุ 12,000 ล้านบาท เติบโต 10% ต่อเนื่อง“ นายศุภโชค กล่าว








กำลังโหลดความคิดเห็น