xs
xsm
sm
md
lg

GULF กำไรปี 66 พุ่ง 30% แตะ 1.48 หมื่นล้าน ลั่นปีนี้รายได้พุ่งต่อจากโรงไฟฟ้า GPD-หินกอง

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



GULF โชว์กำไรปี 66 อยู่ที่ 1.48 หมื่นล้านบาท โตขึ้น 30% จากปีก่อน มาจากกำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้นจากโรงไฟฟ้า GPD หน่วย 1-2 โรงไฟฟ้าในต่างประเทศและ INTUCH พร้อมเป้าปีนี้โกยรายได้โต 25-30% จากโรงไฟฟ้า GPD หน่วย 3-4 และโรงไฟฟ้าหินกองหน่วยที่ 1 ที่จ่ายไฟเชิงพาณิชย์ พร้อมมุ่งหน้าขยายการลงทุนด้านพลังงานหมุนเวียนและธุรกิจดิจิทัลอย่างต่อเนื่อง บอร์ดฯ อนุมัติจ่ายปันผลงวดปี 66 ในอัตรา 0.88 บาทต่อหุ้น

นางสาวยุพาพิน วังวิวัฒน์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารและประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านการเงินบริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ GULF เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานปี 2566 บริษัทมีรายได้รวมอยู่ที่ 116,951 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 23% จากปีก่อนที่ 95,076 ล้านบาท มีกำไรจากการดำเนินงาน (Core Profit) สำหรับปี 2566 อยู่ที่ 15,644 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 29% จาก 12,098 ล้านบาทในปีก่อนหน้า และมีกำไรสุทธิ ส่วนที่เป็นของบริษัทใหญ่ในปี 2566 อยู่ที่ 14,858 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 30% จาก 11,418 ล้านบาทในปี 2565

การเติบโตดังกล่าวมาจากกำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้น จากโครงการกัลฟ์ ปลวกแดง (GPD) เดินเครื่องเชิงพาณิชย์รวมกำลังการผลิตติดตั้ง 1,325 เมกะวัตต์ โดยมี Load Factor เฉลี่ยที่ 90% ในปี 2566 โครงการโรงไฟฟ้า DIPWP ในประเทศโอมานที่เปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ครบทั้ง 326 เมกะวัตต์ตั้งแต่ต้นปี 2566 โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลม Mekong ในประเทศเวียดนามที่เปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ครบทั้ง 128 เมกะวัตต์ในเดือนกรกฎาคม 2566 โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนหลังคาภายใต้ GULF1 ซึ่งทยอยเปิดดำเนินการไปแล้วจำนวน 110 เมกะวัตต์ ประกอบกับการรับรู้รายได้เต็มปีของโครงการโรงไฟฟ้า GSRC ซึ่งเป็นโรงไฟฟ้า IPP ภายใต้กลุ่ม IPD ที่เปิดดำเนินการครบทั้ง 4 หน่วยเรียบร้อยแล้ว จำนวนรวม 2,650 เมกะวัตต์ ตั้งแต่ปลายปี 2565


นอกจากนี้ ผลการดำเนินงานของธุรกิจพลังงานยังเติบโตขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ โดย SPP 12 โครงการภายใต้กลุ่ม GMP มีกำไร Core Profit เพิ่มขึ้นจาก 1,435 ล้านบาทในปี 2565 เป็น 3,097 ล้านบาทในปี 2566 เพิ่มขึ้น 1,661 ล้านบาท หรือ 116% จากปีก่อนหน้า มาจากอัตรากำไรขั้นต้นที่สูงขึ้นจากการขายไฟฟ้าให้กลุ่มลูกค้าอุตสาหกรรม ซึ่งราคาค่าก๊าซเฉลี่ยปรับตัวลดลงจาก 494.8 บาท/ล้านบีทียูในปี 2565 เป็น 385.4 บาท/ล้านบีทียูในปี 2566 ขณะที่ค่า Ft เฉลี่ยเพิ่มขึ้นจาก 0.40 บาท/กิโลวัตต์-ชั่วโมงในปี 2565 เป็น 0.89 บาท/กิโลวัตต์-ชั่วโมงในปี 2566 โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลม 3 โครงการภายใต้กลุ่ม Gulf Gunkul Corporation รับรู้ส่วนแบ่งกำไร Core Profit เพิ่มขึ้น 174% จากจำนวน 324 ล้านบาทในปี 2565 เป็น 889 ล้านบาทในปี 2566 โครงการโรงไฟฟ้าชีวมวล GCG มีกำไรที่เพิ่มขึ้นจาก 170 ล้านบาทในปี 2565 เป็น 263 ล้านบาทในปี 2566 หรือเพิ่มขึ้น 55%

อย่างไรก็ดี ปัจจัยบวกดังกล่าวบางส่วนถูกชดเชยโดยส่วนแบ่งกำไรที่ลดลงของโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลมนอกชายฝั่งทะเล Borkum Riffgrund 2 (BKR2) ที่ประเทศเยอรมนี เนื่องจาก GULF ได้ลดสัดส่วนการถือหุ้นในโครงการนี้ลงจาก 50.00% เหลือ 24.99% โดยจำหน่ายหุ้นในสัดส่วน 25.01% ให้กับ Keppel Group เมื่อเดือนธันวาคม 2565

ในปี 2566 GULF รับรู้ส่วนแบ่งกำไร Core Profit จาก PTT NGD จำนวน 396 ล้านบาท ซึ่งพลิกจากผลขาดทุนจำนวน 128 ล้านบาทในปี 2565 จากราคาต้นทุนค่าก๊าซธรรมชาติเฉลี่ยที่ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ และรับรู้ส่วนแบ่งกำไร Core Profit จำนวน 241 ล้านบาท จากโครงการบริหารจัดการท่าเทียบเรือสาธารณะเพื่อขนถ่ายสินค้าเหลว (Thai Tank Terminal) ที่ได้เข้าลงทุนในเดือนธันวาคม 2565 อีกด้วย

นอกจากนี้ บริษัทรับรู้ส่วนแบ่งกำไร Core Profit จากการลงทุนใน INTUCH จำนวน 6,101 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1,445 ล้านบาท หรือ 31% จาก 4,656 ล้านบาทเมื่อปี 2565 โดยสาเหตุหลักมาจากผลประกอบการที่ดีขึ้นของ AIS


นางสาวยุพาพินกล่าวว่า บริษัทคาดว่ารายได้รวมในปี 2567 เติบโตประมาณ 25-30% จากปี 2566 มาจากการเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ของโครงการโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติ GPD หน่วยที่ 3 และ 4 ซึ่งมีกำลังการผลิตไฟฟ้าติดตั้งรวม 1,325 เมกะวัตต์ โดยมีกำหนดเริ่มจำหน่ายไฟฟ้าในเดือนมีนาคม และตุลาคม 2567 ตามลำดับ รวมทั้งการเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ของโครงการโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติหินกองหน่วยที่ 1 ซึ่งมีกำลังการผลิตไฟฟ้าติดตั้ง 770 เมกะวัตต์ ซึ่งมีกำหนดเริ่มจำหน่ายไฟฟ้าในเดือนมีนาคม 2567 โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคาของกลุ่ม GULF1 จะทยอยเปิดดำเนินการเพิ่มอีกจำนวน 120 เมกะวัตต์ในปีนี้ ในขณะที่โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์หรือSolar Farms และโครงการพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนพื้นดินร่วมกับระบบกักเก็บพลังงาน (Solar BESS) ภายในประเทศ มีแผนที่จะทยอยเปิดให้ดำเนินการเชิงพาณิชย์เพิ่มอีก 5 โครงการในปลายปี 2567 โดยมีกำลังการผลิตติดตั้งรวม 532 เมกะวัตต์

GULF เล็งเห็นถึงความสำคัญของการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก โดยในปี 2566 บริษัทได้ลงนามในสัญญาซื้อขายไฟฟ้ากับ กฟผ.เพื่อพัฒนาและดำเนินโครงการ Solar Farms และ Solar BESS จำนวนรวม 24 โครงการ กำลังการผลิตติดตั้งไฟฟ้าตามสัญญารวมทั้งสิ้น 2,396 เมกะวัตต์ โดยมีกำหนดเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ระหว่างปี 2567-2572 และลงนามในสัญญาซื้อขายไฟฟ้ากับ กฟภ.เพื่อพัฒนาโรงไฟฟ้าขยะอุตสาหกรรมจำนวน 2 โครงการ กำลังการผลิตติดตั้งรวม 20 เมกะวัตต์ ซึ่งทั้ง 2 โครงการมีกำหนดเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ในปี 2569

ปัจจุบัน GULF มีกำลังการผลิตไฟฟ้าติดตั้งจากพลังงานหมุนเวียนที่เปิดดำเนินการแล้วและอยู่ระหว่างการพัฒนารวมทั้งสิ้น 8,211 เมกะวัตต์ และพร้อมมีแผนที่จะขยายกำลังการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนเพิ่มเติมอีกไม่ต่ำกว่า 3,000 เมกะวัตต์ เพื่อบรรลุเป้าหมายที่จะเพิ่มสัดส่วนพลังงานหมุนเวียนให้ไม่น้อยกว่า 40% ของกำลังการผลิตทั้งหมดภายในปี 2578 จากโครงการ Solar Rooftop, Solar Farms, Solar BESS พลังงานลม พลังงานน้ำ และพลังงานขยะอุตสาหกรรม ทั้งภายในประเทศและต่างประเทศ ผ่านรูปแบบการลงทุนใหม่ (Greenfield) การเจรจาการร่วมทุนกับพันธมิตรทางธุรกิจ และการเข้าซื้อกิจการ (M&A)

นอกจากนี้ ในปลายเดือนกุมภาพันธ์นี้ GULF จะนำเข้าก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) เพื่อนำมาใช้ในการผลิตไฟฟ้าของโรงไฟฟ้าหินกองหน่วยที่ 1 กำลังการผลิตไฟฟ้าติดตั้ง 770 เมกะวัตต์ ซึ่งนับเป็นเอกชนรายแรกของประเทศไทยที่นำ LNG เข้ามาในประเทศ โดยการนำเข้า LNG นี้เป็นไปตามแผนการจัดหาก๊าซธรรมชาติของประเทศ อันจะช่วยลดความเสี่ยงในการจัดหาก๊าซธรรมชาติ และเพิ่มความมั่นคงทางด้านพลังงานให้กับประเทศอีกด้วย

ในส่วนของความคืบหน้าของโครงการภายใต้ธุรกิจดิจิทัลยังคงเป็นไปตามแผน โดยธุรกิจศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล (Digital Asset Exchange) ภายใต้แพลตฟอร์ม Binance TH by Gulf Binance ได้เปิดให้บริการอย่างเต็มรูปแบบแก่ผู้ใช้งานทั่วไปเป็นที่เรียบร้อยแล้วเมื่อวันที่ 16 มกราคมที่ผ่านมา โดยตั้งเป้าหมายส่วนแบ่งตลาดที่ประมาณ 30% ในปี 2567 ในขณะที่ธุรกิจศูนย์ข้อมูล (Data Center) นั้น อยู่ระหว่างการก่อสร้างและมีแผนที่จะเปิดให้บริการเฟสแรกในไตรมาสที่ 1 ปี 2568 จำนวน 20 เมกะวัตต์ ซึ่งศูนย์ข้อมูลดังกล่าวจะมุ่งเน้นไปที่การใช้พลังงานสะอาดเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและสนับสนุนการพัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัลอย่างยั่งยืน พร้อมทั้งศึกษาความเป็นไปได้ในการต่อยอดธุรกิจบริการด้านดิจิทัลอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง สำหรับธุรกิจธนาคารพาณิชย์ไร้สาขา (Virtual Bank) GULF มีแผนร่วมทุนกับพันธมิตรที่มีทั้งช่องทาง ฐานลูกค้าและข้อมูล โดยจะนำเทคโนโลยีมาช่วยดำเนินการและสร้างบริการทางการเงินรูปแบบใหม่ๆ ด้วยต้นทุนที่ต่ำลง ซึ่งจะช่วยลดต้นทุนการให้บริการ เพื่อให้เข้าถึงลูกค้าที่อยู่นอกระบบธนาคารพาณิชย์ และจะส่งผลให้ Virtual Bank เติบโตได้ในอนาคต

ทั้งนี้ ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทมีมติเห็นชอบให้นำเสนอต่อที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2567 ในวันที่ 4 เมษายน 2567 เพื่อพิจารณาอนุมัติการจ่ายเงินปันผลสำหรับผลการดำเนินงานของบริษัทประจำปีสิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2566 ในอัตรา 0.88 บาทต่อหุ้น หรือคิดเป็นอัตราการจ่ายเงินปันผลต่อกำไรสุทธิเท่ากับร้อยละ 78.1 โดยกำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิรับเงินปันผลในวันที่ 29 กุมภาพันธ์ 2567 และกำหนดจ่ายเงินปันผลในวันที่ 25 เมษายน 2567


กำลังโหลดความคิดเห็น