กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ แจ้งกำไรสุทธิไตรมาสนี้ 2,884.93 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อนที่ทำไว้ 1,530.68 ล้านบาท ขณะที่มี Core Profit งวดนี้แตะ 3,556 ล้านบาท โตขึ้น 15% จากปีก่อน ผลจาก COD ของโรงไฟฟ้างโครงการกัลฟ์ ปลวกแดงหน่วยที่ 1 และกำไรจาก INTUCH เพิ่มขึ้น
น.ส.ยุพาพิน วังวิวัฒน์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารและประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านการเงิน บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ GULF แจ้งผลงานไตรมาส 2/2566 ว่า มีกำไรสุทธิ 2,884.93 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อนที่ทำไว้ 1,530.68 ล้านบาท ซึ่งเป็นผลจากการอ่อนค่าของเงินบาทต่อดอลลาร์สหรัฐจาก 34.26 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ ณ สิ้นไตรมาส 1/2566 เป็น 35.75 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ ณ สิ้นไตรมาส 2/2566 อย่างไรก็ตาม ผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยนดังกล่าวเป็นเพียงการบันทึกรายการทางบัญชี และไม่มีผลกระทบต่อกระแสเงินสดและผลประกอบการของ GULF แต่อย่างใด
โดยมีรายได้รวม (Total Revenue) อยู่ที่ 35,263 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 44% จาก 24,553 ล้านบาท ในไตรมาสเดียวกันของปีก่อน และมีกำไรจากการดำเนินงาน (Core Profit) สำหรับไตรมาส 2/2566 เท่ากับ 3,556 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 15% จาก 3,081 ล้านบาท ในไตรมาสเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากการรับรู้ผลการดำเนินงานของโครงการกัลฟ์ ปลวกแดง (GPD) ซึ่งเป็นโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติ IPP ที่มีกำลังการผลิตติดตั้งรวม 2,650 MW ภายใต้กลุ่ม IPD โดยหน่วยที่ 1 กำลังการผลิตติดตั้ง 662.5 MW ได้เปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ (COD) ไปเมื่อวันที่ 31 มีนาคม 2566 ที่ผ่านมา โดยรับรู้ Core Profit จำนวน 223 ล้านบาทในไตรมาส 2/2566 ประกอบกับรายได้ที่เพิ่มขึ้นจากโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติ SPP 12 โครงการภายใต้กลุ่ม GMP ที่มีปริมาณการขายไฟฟ้าให้ กฟผ. เพิ่มขึ้น
โดยมี Load Factor เฉลี่ยเพิ่มขึ้นจาก 78% ในไตรมาส 2/2565 เป็น 80% ในไตรมาส 2 ปีนี้ และยังมีอัตรากำไรขั้นต้นที่สูงขึ้นจากการขายไฟฟ้าให้แก่กลุ่มลูกค้าอุตสาหกรรม เนื่องจากราคาค่าก๊าซเฉลี่ยที่ปรับตัวลดลง โดยราคาค่าก๊าซธรรมชาติเฉลี่ยลดลงจาก 449.15 บาท/ล้านบีทียูในไตรมาส 2/2565 เป็น 406.44 บาท/ล้านบีทียูในไตรมาสนี้ หรือลดลง 10% จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน ขณะที่ค่า Ft เฉลี่ยเพิ่มขึ้นจาก 0.17 บาท/kWh ในไตรมาส 2/2565 เป็น 1.12 บาท/kWh ในไตรมาสนี้
นอกจากนี้ GULF ได้เริ่มรับรู้รายได้และกำไรของกลุ่ม THCOM เข้ามาในงบการเงินรวมตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2566 โดยในไตรมาส 2/2566 GULF รับรู้รายได้ 639 ล้านบาท และกำไร 116 ล้านบาท จากกลุ่ม THCOM สำหรับโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนหลังคา (Solar Rooftop) ภายใต้ GULF1 นั้น ได้เปิดดำเนินการแล้ว 88 MW ณ สิ้นไตรมาส 2/2566 เมื่อเทียบกับ 4 MW ไตรมาส 2/2565 ส่งผลให้รับรู้ Core Profit 48 ล้านบาทในไตรมาสนี้
ทั้งนี้ ในไตรมาส 2/2566 GULF รับรู้ส่วนแบ่งกำไรจากการดำเนินงาน (ส่วนแบ่งกำไร Core Profit) จากบริษัทในเครือทั้งสิ้น จำนวน 2,153 ล้านบาท โตขึ้น 6% จาก 2,035 ล้านบาท เทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน โดยส่วนใหญ่มาจากส่วนแบ่งกำไร Core Profit จาก INTUCH จำนวน 1,352 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 15% จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน จากผลการดำเนินงานที่ดีขึ้นของ AIS ประกอบกับรับรู้ส่วนแบ่งกำไร Core Profit ของกลุ่ม GJP จำนวน 579 ล้านบาท ซึ่งเพิ่มขึ้น 6% จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน จากโครงการโรงไฟฟ้า SPP 7 โครงการ ซึ่งมีอัตรากำไรขั้นต้นสูงขึ้นจากการขายไฟฟ้าให้แก่กลุ่มลูกค้าอุตสาหกรรม เนื่องจากราคาก๊าซธรรมชาติเฉลี่ยที่ลดลงและค่า Ft เฉลี่ยที่เพิ่มขึ้น
นอกจากนี้ ในไตรมาส 2/2566 GULF ยังรับรู้ส่วนแบ่งกำไร Core Profit จากโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลม 3 โครงการภายใต้กลุ่ม Gulf Gunkul Corporation 148 ล้านบาท และส่วนแบ่งกำไร Core Profit จากโครงการโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติ DIPWP ในประเทศโอมาน 139 ล้านบาท โดยโรงไฟฟ้าดังกล่าวได้เปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์เพิ่มขึ้นจาก 52 MW ในไตรมาส 2/2565 เป็นครบทั้งสิ้น 326 MW ในไตรมาส 2/2566 รวมถึงรับรู้ส่วนแบ่งกำไร Core Profit จากโครงการบริหารจัดการท่าเทียบเรือสาธารณะเพื่อขนถ่ายสินค้าเหลว Thai Tank Terminal จำนวน 59 ล้านบาทในไตรมาสนี้
อย่างไรก็ดี ปัจจัยบวกดังกล่าวถูกชดเชยบางส่วนจากส่วนแบ่งกำไรที่ลดลงจากโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลมนอกชายฝั่งทะเล Borkum Riffgrund 2 (BKR2) ที่ประเทศเยอรมนี ตามสัดส่วนการถือหุ้นที่ลดลง ซึ่ง GULF ได้จำหน่ายหุ้นในสัดส่วน 25.01% ให้ Keppel Group ในเดือนธันวาคม 2565 อีกทั้งส่วนแบ่งกำไรจากโครงการ PTTNGD ลดลง เนื่องจากราคาน้ำมันเตาลดลงในอัตราที่สูงกว่าราคาค่าก๊าซธรรมชาติ ซึ่งรายได้ของโครงการดังกล่าวจะผูกกับราคาน้ำมันเตา ขณะที่ต้นทุนจะขึ้นอยู่กับราคาค่าก๊าซธรรมชาติ ประกอบกับส่วนขาดทุนจากโครงการโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติ Jackson Generation ที่ประเทศสหรัฐอเมริกา เนื่องจากราคาก๊าซธรรมชาติ Henry Hub ที่ปรับตัวลงมาอยู่ที่ 1.99 ดอลลาร์สหรัฐ/ล้านบีทียู ในไตรมาสนี้
ทั้งนี้ GULF มีกำไรก่อนดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) ในไตรมาส 2/2566 เท่ากับ 8,620 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 20% เมื่อเทียบกับ 7,174 ล้านบาทในไตรมาส 2/2565
น.ส.ยุพาพิน กล่าวอีกว่าภาพรวมผลประกอบการปี 2566 คาดว่ารายได้รวมจะเติบโตขึ้นประมาณ 50% ตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ จากการเปิดดำเนินการของโครงการของ GULF ในช่วงครึ่งหลังของปี 2566 ซึ่งยังคงดำเนินไปตามแผน โดยโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลม Mekong ที่ประเทศเวียดนามได้เปิดดำเนินการครบทั้งสิ้น 128 MW เป็นที่เรียบร้อยเมื่อเดือนกรกฎาคม 2566 อีกทั้งโครงการโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติ GPD หน่วยที่ 2 ซึ่งมีกำลังการผลิตไฟฟ้าติดตั้งรวม 662.5 MW มีกำหนดเปิดดำเนินการในวันที่ 1 ตุลาคม 2566 และโครงการ Solar Rooftop ภายใต้ GULF1 มีกำหนดจะเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์เพิ่มอีก 40-50 MW ภายในปีนี้ รวมเป็น 130-140 MW
นอกจากนี้ แนวโน้มค่าก๊าซธรรมชาติที่ลดลง จะส่งผลให้กำไรของกลุ่มโรงไฟฟ้า SPP ดีขึ้น ในส่วนของธุรกิจศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลในประเทศไทยภายใต้ Gulf Binance นั้น GULF ได้รับใบอนุญาตในการประกอบธุรกิจศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลและธุรกิจนายหน้าซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เป็นที่เรียบร้อย และมีกำหนดเปิดให้บริการภายในสิ้นปีนี้