xs
xsm
sm
md
lg

MINT ทุบสถิติกำไร 7.1 พันล้าน โรงแรม-อาหาร โตพุ่งรับ ศก.ฟื้น

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



บริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) (“MINT”) รายงานผลกำไรสุทธิจากการดำเนินงานเติบโต 3 เท่า ที่ 7.1 พันล้านบาท สร้างบรรทัดฐานใหม่สำหรับผลกำไรสุทธิประจำปี สูงที่สุดเป็นประวัติการณ์ของบริษัท จากการเป็นผู้นำระดับโลกในอุตสาหกรรมการบริการและการท่องเที่ยวที่มีธุรกิจใน 63 ประเทศ MINT ได้รับประโยชน์จากผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่งในทวีปยุโรป ในขณะเดียวกันกับการฟื้นตัวของการเดินทางในประเทศไทย สำหรับไตรมาส 4 ปี 2566 MINT สรุปผลการดำเนินงานประจำปีด้วยผลกำไรจากการดำเนินงานที่สูงเป็นจำนวน 2.5 พันล้านบาท เป็นการเติบโตที่สูงอย่างน่าประทับใจที่ร้อยละ 77 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ด้วยวิธีการเทียบแบบบรรทัดฐานเดียวกัน (Like-for-like) และการเติบโตของกำไรของบริษัทมาจากธุรกิจหลักในทุกภาคส่วน


ในไตรมาส 4 ปี 2566 ไมเนอร์ โฮเทลส์รายงานรายได้เฉลี่ยต่อห้องต่อคืนของโรงแรมในประเทศไทยและทวีปยุโรปและละตินอเมริกา เติบโตที่ร้อยละ 15 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และสูงกว่าปี 2562 ที่ร้อยละ 23 และ 27 ตามลำดับ ตลอดทั้งปี 2566 ไมเนอร์ โฮเทลส์ มีรายได้เฉลี่ยต่อห้องต่อคืนทั้งหมดมากกว่ปี 2565 และปี 2562 ที่ร้อยละ 30 และ 31 ตามลำดับ ในขณะเดียวกัน ไมเนอร์ ฟู้ดรายงานยอดขายโดยรวมทุกสาขาในปี 2566 เติบโตร้อยละ 11

โดยได้แรงหนุนจากการฟื้นตัวของกิจกรรมการรับประทานอาหารภายในร้าน ตลอดจนกลยุทธ์ด้านการเสนอผลิตภัณฑ์ที่มีนวัตกรรมใหม่ๆ และการตลาดของธุรกิจในทุกประเทศ การเติบโตจากรายได้และกำไรสุทธิยืนยันถึงความแข็งแกร่งของรูปแบบธุรกิจที่หลากหลายของ MINT และความสามารถในการใช้ประโยชน์จากแนวโน้มเชิงบวกในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวและร้านอาหารทั่วโลก ตลอดจนการจัดการต้นทุนที่มีประสิทธิภาพ ผลิตภาพที่เพิ่มขึ้น และการเติบโตสู่กำไรสุทธิที่แข็งแกร่ง


MINT เริ่มต้นอย่างแข็งแกร่งในปี 2567 โดยมีรายได้จากห้องพักในเดือนมกราคมและรายได้จากการจองห้องพักล่วงหน้าในเดือนกุมภาพันธ์และมีนาคมสูงกว่าระดับของปี 2566 ถึงร้อยละ 39 สำหรับประเทศไทยและที่ร้อยละ 20 สำหรับทวีปยุโรป แนวทางของ MINT ในการสร้างผลกำไรและการเติบโตที่มีความยืดหยุ่นในปี 2567 ได้รับการสนับสนุนจากความมุ่นมั่นในการเพิ่มมูลค่าที่สูงให้กับผู้ถือหุ้น รวมไปถึงลูกค้าอีกด้วย

ใน 3 ปีข้างหน้านี้ MINT ตั้งเป้าขยายกลุ่มธุรกิจโดยเพิ่มโรงแรมใหม่ 200-500 แห่ง และร้านอาหาร 1,000 สาขา โดยมียอดรวมจำนวนโรงแรมอยู่ที่ 780 แห่ง และ ร้านอาหารอยู่ที่ 3,700 สาขา ความมุ่งมั่นนี้ได้รับการสนับสนุนจากโอกาสการเติบโตที่มากมายและการมุ่งเน้นเชิงกลยุทธ์ด้านการใช้รูปแบบธุรกิจ Asset-light model การทำสัญญารับจ้างบริหารโรงแรม และการทำแฟรนไชส์ร้านอาหาร เพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืนพร้อมไปกับการใช้เงินลงทุนให้น้อยที่สุด และการมุ่งเน้นในตลาดที่มีการเติบโตสูงนอกเหนือจากตลาดอื่น

พัฒนาการที่ผ่านมาของ MINT เป็นการยืนยันถึงความมุ่งมั่นที่มีต่อการขยายธุรกิจสู่เวทีระดับโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสถานที่สำคัญระดับนานาชาติ อาทิการเพิ่มโรงแรมรับจ้างบริหาร 3 แห่งในกรุงปารีสภายใต้เอ็น เอช และเอ็นเอช คอลเลคชั่น การเปิดตัวโรงแรมหรูภายใต้อนันตราในกรุงเวียนนา และการเปิดตัวของเอ็นเอช คอลเลคชั่นในเฮลซิงกิ


แผนการขยายโรงแรมที่แข็งแกร่งของ MINT ยังรวมการเปิดตัวของอนันตราและอวานีในราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบีย ควบคู่ไปกับการเปิดโรงแรมใหม่ในตลาดตะวันออกกลางที่ MINT มีการเติบโตอยู่แล้ว อีกทั้งยังมีแผนการเปิดตัวโรงแรมรับจ้างบริหารในประเทศจีนหลายแห่งเพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวทั้งในและต่างประเทศ

ในส่วนของ ไมเนอร์ ฟู้ดยังเสริมความแข็งแกร่งในอาเซียนด้วยการเปิดร้านอาหารแฟรนไชส์ในเวียดนามและสิงคโปร์ภายใต้ซิซซ์เลอร์, เดอะคอฟฟี่ คลับ และเดอะ พิซซ่า คอมปะนี ยิ่งไปกว่านั้น MINT ได้เข้าซื้อกิจการแดรี่ ควีนเพื่อดำเนินงานในอินโดนีเซีย และเปิดตัว เดอะ พิซซ่า คอมปะนี, สเวนเซ่นส์ และกาก้า ทั้งนี้ แผนทั้งหมดที่กล่าวข้างต้นจะสามารถเป็นส่วนหนึ่งในการขยายธุรกิจสู่ตลาดที่มีการเติบโตสูง โดยเฉพาะตลาดภายในกลุ่มอาเซียน


เป้าหมาย 3 ปีข้างหน้าของ MINT ไม่เพียงแต่จะเพิ่มส่วนของกำไรแต่จะมีส่วนเพิ่มกระแสเงินสดจากการดำเนินงานได้อย่างมีนัยสำคัญ เงินสดดังกล่าวจะถูกนำมาใช้ในแผนการลดหนี้ โดยตั้งเป้าไปที่การลดอัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยสุทธิต่อส่วนของผู้ถือหุ้นจาก 1.0 เท่า ณ สิ้นปี 2566 เป็น 0.8 เท่าภายในสิ้นปี 2567 กลยุทธ์ดังกล่าวในสภาวะดอกเบี้ยสูงจะสามารถเพิ่มอัตราการเติบโตของกำไรให้กับบริษัท สถานะการเงินของ MINT ที่แข็งแกร่งขึ้นจะสามารถส่งเสริมให้บริษัทมุ่งเน้นไปที่โอกาสสำคัญในการเติบโตด้วยการผสมผสานกับการเติบโตด้วยรูปแบบ Asset light


นายดิลลิป ราชากาเรีย ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มของ MINT กล่าวด้วยความตื่นเต้นถึงความสำเร็จที่บริษัทได้รับโดยกล่าวว่า “ผมมีความยินดีที่จะรายงานผลประกอบการที่ดีเยี่ยมของเราสำหรับปี 2566 รายงานนี้สะท้อนให้เห็นถึงความทุ่มเทและการทำงานอย่างเต็มที่ของทีมเราทุกคนใน 63 ประเทศ สำหรับก้าวต่อไปเรายังคงมุ่งเน้นไปที่การขยายอาณาจักร ส่งเสริมการเติบโตแบบยั่งยืน และการลดหนี้เพื่อสร้างมูลค่าให้กับผู้มีส่วนได้เสียกับบริษัทในระยะยาว”

ข้อมูลเกี่ยวกับบริษัท: บริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) (MINT) เป็นผู้นำในการดำเนินธุรกิจระดับสากล โดยประกอบ 3 ธุรกิจหลัก ได้แก่ ธุรกิจโรงแรม ธุรกิจร้านอาหาร และธุรกิจจัดจำหน่ายสินค้าไลฟ์สไตล์ MINT ดำเนินธุรกิจโรงแรมทั้งในรูปแบบเป็นเจ้าของเอง บริหารจัดการ และร่วมลงทุน โดยมีโรงแรมและเซอร์วิส สวีตมากกว่า 530 แห่ง ภายใต้แบรนด์ อนันตรา, อวานี, โอ๊คส์, ทิโวลี, เอ็นเอช คอลเลคชั่น, เอ็นเอช, นาว, เอเลวาน่า, แมริออท, โฟร์ซีซั่นส์, เซ็นต์ รีจิส, เรดิสัน บลู และโรงแรมในกลุ่มไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล ใน 55 ประเทศในเอเชียแปซิฟิก ตะวันออกกลาง แอฟริกา คาบสมุทรอินเดีย ยุโรป อเมริกาใต้ และอเมริกาเหนือ

นอกจากนี้ MINT เป็นผู้นำในธุรกิจร้านอาหาร ซึ่งมีขนาดใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในเอเชีย โดยมีร้านอาหารกว่า 2,600 สาขา ใน 24 ประเทศ ภายใต้แบรนด์ เดอะ พิซซ่า คอมปะนี, เดอะ คอฟฟี่ คลับ, ริเวอร์ไซด์, เบนิฮานา, ไทย เอ็กซ์เพรส, บอนชอน, สเวนเซ่นส์, ซิซซ์เลอร์, แดรี่ ควีน, เบอร์เกอร์ คิง, คอฟฟี่ เจอนี่ และกาก้า นอกเหนือจากร้านอาหารพันธมิตรเชิงกลยุทธ์กว่า 1,000 สาขา (เช่น S&P และเบรดทอล์ค) อีกทั้งยังเป็นผู้นำด้านการจัดจำหน่ายสินค้าไลฟ์สไตล์และรับจ้างผลิต ซึ่งมีขนาดใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในประเทศไทย ภายใต้แบรนด์ อเนลโล่, เบิร์กฮอฟฟ์, บอสสินี่, ชาร์ล แอนด์ คีธ, โจเซฟ โจเซฟ, สวิลลิ่ง เจ. เอ. เฮ็งเคิลส์ และไมเนอร์ สมาร์ท คิดส์














กำลังโหลดความคิดเห็น