“กกร.” ประเมินเศรษฐกิจไทยปี 2567 ยังคงกรอบเดิม GDP ขยายตัวได้ 2.8-3.3% ส่งออกโต 2-3% เงินเฟ้อที่ 0.7-2% แม้ ศก.ไทยฟื้นตัวได้จากการท่องเที่ยวแต่ยังคงอ่อนแอจากการผลิตหดตัวต่อเนื่องทำให้การฟื้นตัวไม่ทั่วถึง สินค้าไทยเริ่มไม่เป็นที่ต้องการของตลาด แถมโดนดัมป์แหลก จี้รัฐยกเว้นเก็บ VAT สินค้าออนไลน์ไม่เกิน 1,500 บาทเพื่อให้คนไทยแข่งขันได้
นายทวี ปิยะพัฒนา รองประธานอาวุโสสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยหลังการเป็นตัวแทนประธานประชุมคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ที่ประกอบด้วย ส.อ.ท. สภาหอการค้าแห่งประเทศไทยและสมาคมธนาคารไทย ว่า กกร.ยังคงกรอบประมาณการเศรษฐกิจปี 2567 เมื่อเทียบกับปี 2566 คงเดิมที่คาดว่าผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) จะเติบโต 2.8-3.3% (ยังไม่รวมผลของมาตรการ Digital Wallet) ส่งออกโต 2-3.3% ขณะที่เงินเฟ้ออยู่ที่ 0.7-2%
“เศรษฐกิจไทยฟื้นตัวได้แต่ยังอ่อนแอ แม้ภาคการท่องเที่ยวเป็นปัจจัยหนุนเศรษฐกิจ แต่ภาคการผลิตหดตัวต่อเนื่อง ทำให้การฟื้นตัวไม่ทั่วถึง ส่วนอัตราเงินเฟ้อทั่วไปที่ติดลบต่อเนื่องเป็นสัญญาณความอ่อนแอของเศรษฐกิจในประเทศ ถือเป็นสัญญาณที่ควรติดตาม นอกจากนี้ ปัญหาเชิงโครงสร้างของไทยทำให้เศรษฐกิจมีแนวโน้มชะลอตัว ขณะที่สินค้าไทยหลายรายการเริ่มไม่เป็นที่ต้องการของตลาด แม้ว่าเศรษฐกิจโลกปีนี้จะเติบโตได้ราว 3% แต่ก็ดีกว่าประมาณการเดิมเล็กน้อย ขณะที่ส่งออกไทยยังคงมีความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์ที่ยังมีปัจจัยติดตามทั้งการเลือกตั้งหลายประเทศ สงครามที่เสี่ยงจะขยายวง ความไม่สงบเพื่อนบ้าน” นายทวีกล่าว
จี้ยกเว้นเก็บ VATซื้อสินค้าออนไลน์ไม่เกิน 1,500 บาท
ทั้งนี้ กกร.มีความกังวลกับปัญหาสินค้าราคาถูกที่เข้ามาทุ่มตลาดในประเทศไทย และในตลาดอาเซียน ทั้งจากสินค้าออนไลน์ (E-commerce) และการเข้ามาใช้ประโยชน์จาก Free Trade Zone รวมถึงการลักลอบผ่านด่านศุลกากรโดยสำแดงข้อมูลเท็จเพื่อหลีกเลี่ยงภาษี ทำให้สินค้าราคาถูกรวมถึงสินค้าที่ไม่มีมาตรฐานเข้ามาในประเทศกระทบต่อยอดขายโดยเฉพาะ SMEs ดังนั้น กกร.จึงขอให้รัฐเร่งทบทวนยกเว้นการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) สำหรับการซื้อสินค้าออนไลน์ที่ไม่เกิน 1,500 บาท เพื่อให้เกิดความยุติธรรมต่อผู้ประกอบการไทย มีการทบทวนนโยบายและเงื่อนไขในการใช้สิทธิประโยชน์ใน Free Trade Zone รวมทั้งการออกมาตรการปกป้องผู้ประกอบการในประเทศ เช่น การนำมาตรการตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุนตลาด (Anti-Circumvention: AC) มาบังคับใช้ เป็นต้น
“กกร.ยังมองในเรื่องของอุตสาหกรรมก่อสร้างที่สร้างมูลค่าเพิ่ม 2.6% ของ GDP และจ้างงานมากกว่า 2 ล้านคน ที่ขณะนี้การจัดซื้อจัดจ้างก่อสร้างภาครัฐทำให้เอกชนไทยไม่สามารถแข่งขันได้เต็มศักยภาพ การคัดเลือกยังเป็นอุปสรรคต่อการแข่งขัน การเบิกจ่ายเงินมีความล่าช้า จึงเห็นว่ารัฐควรปรับแนวคิดในกฎหมาย จากการเน้นประโยชน์หน่วยงานของรัฐ ไปสู่ประโยชน์สาธารณะ ปรับการคำนวณราคาให้สะท้อนต้นทุนจริง แก้ไขกฎหมาย และแก้แบบสัญญา และรวมถึงการจัดซื้อจัดจ้างรัฐ การใช้ Local Content ภายในประเทศ หรือวัสดุที่ได้รับการรับรองมาตรฐาน Made in Thailand และเครื่องหมายรับรอง Green Product โดยจะมีการรวบรวมรายละเอียดและนำเสนอรัฐบาลให้พิจารณาต่อไป” นายทวีกล่าว
นายจีรพันธ์ อัศวะธนกุล รองประธานกรรมการ สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย กล่าวว่า จากเป้าหมายของภาครัฐที่ต้องการให้มีนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้าประเทศในปี 2567 ที่จำนวน 35 ล้านคน ซึ่งในเดือนมกราคมที่ผ่านมามีนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาในประเทศกว่า 3 ล้านคน สร้างเม็ดเงินกว่า 1.7 แสนล้านบาท ทำให้เกิดแรงหนุนทางเศรษฐกิจผ่านการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยว แต่อย่างไรก็ตาม กกร.มีความกังวลต่อความหนาแน่นของจำนวนนักท่องเที่ยวในแหล่งท่องเที่ยวบางพื้นที่ เช่น ภูเก็ต จึงขอเสนอให้ภาครัฐช่วยจัดระเบียบ ช่วยส่งเสริมและประชาสัมพันธ์ให้เกิดการท่องเที่ยวตามเมืองรองต่างๆ เพื่อลดความหนาแน่นและช่วยกระจายรายได้อย่างทั่วถึง รวมทั้งควรกระตุ้นนักท่องเที่ยวต่างชาติให้เกิดการใช้จ่ายต่อหัวให้มากขึ้น
นายกอบศักดิ์ ดวงดี เลขาธิการสมาคมธนาคารไทย กล่าวว่า กกร.สนับสนุนการดำเนินมาตรการการให้สินเชื่ออย่างรับผิดชอบและเป็นธรรม (Responsible Lending) ของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เพราะเล็งเห็นว่าเป็นแนวทางที่สามารถช่วยแก้หนี้ให้กับประชาชนได้จริง แก้ไขปัญหาได้ตรงจุด และยั่งยืน ซึ่งจะได้มีความต่อเนื่องในการให้ความช่วยเหลือลูกหนี้ตั้งแต่ช่วงโควิด-19 โดยภายใต้แนวทางมาตรการ Responsible Lending จะช่วยเหลือลูกหนี้ตั้งแต่ก่อนเป็นหนี้เสีย ระหว่างเป็นหนี้เสีย มุ่งเน้นให้ความช่วยเหลือกลุ่มเปราะบางเป็นอันดับต้นๆ เนื่องจากเป็นกลุ่มที่มีภาระหนี้สูง และรายได้ยังไม่ฟื้นตัว ทำให้มีรายได้ไม่เพียงพอในการดำรงชีพ โดยขอให้ ธปท.ติดตามประเมินผลกระทบของมาตรการต่อการเข้าถึงสินเชื่อด้วย เนื่องจากบางส่วนมีความจำเป็นต่อการดำรงชีพและการประกอบอาชีพ