ผู้จัดการรายวัน 360 - “วิลเลี่ยม” บิ๊กบอสเครือไมเนอร์ ยื่นข้อเสนอรัฐบาลกระตุ้นท่องเที่ยวต่อเนื่อง ชูซอฟต์เพาเวอร์ ทั้ง อาหาร วัฒนธรรม ภาพยนตร์ กีฬา เวลเนส ควบคู่ไปกับมาตรการทางภาคเศรษฐกิจ พร้องทั้งให้ขยายมาตรการยกเว้นวีซ่ามากขึ้น เผยลงทุนต่อเนื่องอีก ปีนี้ผุด 3 แห่งในตลาดใหม่ที่ฝรั่งเศส ตั้งเป้าทั่วโลกมีจำนวน 780 แห่งในอีก 3 ปีจากนี้
มร.วิลเลียม ไฮเน็ค ประธานกรรมการบริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ MINT กล่าวว่า อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของประเทศไทยมีแนวโน้มที่ดีอย่างต่อเนื่อง จากนโยบายของรัฐบาลที่ช่วยกระตุ้นภาคธุรกิจต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการยกเว้นวีซ่า การขยายเวลาเปิดให้บริการของสถานบันเทิง การลด-เลิกภาษีไวน์ สุรา และการสร้างสัมพันธ์กับนักลงทุนต่างชาติเพื่อดึงดูดให้เข้ามาลงทุนในประเทศไทย แต่ก็ยังมีอีกหลายอย่างที่ประเทศไทยสามารถทำเพิ่มเติมได้ เช่น การขยายประเทศที่ยกเว้นวีซ่า เป็นต้น
นายวิลเลียมมีข้อเสนอต่อรัฐบาลในการกระตุ้นการท่องเที่ยวอย่างต่อเนื่อง เช่น การส่งเสริมด้านซอฟต์เพาเวอร์ ทั้งการถ่ายทำภาพยนตร์ โดยใช้สถานที่ในประเทศไทยที่แสดงถึงทัศนียภาพอันสวยงามและอัธยาศัยของคนไทย อาหารไทย การดูแลสุขภาพอย่างครบวงจร ซึ่งอาศัยการผสมผสานภูมิปัญญาอันเก่าแก่ของประเทศไทยเข้ากับเทคโนโลยีทางการแพทย์ระดับมาตรฐานโลก ด้านกีฬา ตลอดจนดนตรี เพื่อยกระดับภาพลักษณ์ของประเทศไทยและดึงดูดนักท่องเที่ยวจากนานาประเทศ โดยนายวิลเลียมเห็นว่า รัฐบาลสามารถใช้มาตรการทางการเงิน (incentive) สนับสนุนการจัดคอนเสิร์ตระดับโลกในเมืองไทยให้มากขึ้น ดังเช่นที่ได้ให้การสนับสนุนการถ่ายทำหนังและภาพยนตร์ในประเทศไทยมาแล้ว
นอกจากนี้ นายวิลเลียมได้เน้นย้ำถึงการสนับสนุนสายการบินและสร้างแรงจูงใจในการเพิ่มจำนวนเที่ยวบิน และการปรับลดค่าโดยสารให้เหมาะสมยิ่งขึ้น การทำการตลาด เพื่อเจาะกลุ่มนักท่องเที่ยวจากประเทศใหม่ๆ เพื่อเพิ่มความหลากหลายและลดความเสี่ยง มาตรการลดหย่อนภาษีจากการใช้จ่ายเพื่อการท่องเที่ยวภายในประเทศ โดยเฉพาะในช่วงโลว์ซีซันในไตรมาส 2 และ 3 ของแต่ละปี การส่งเสริมวีซ่าเกษียณอายุ ซึ่งไม่เพียงแต่จะดึงดูดชาวต่างชาติที่เกษียณแล้วให้มาอาศัยอยู่ในประเทศไทยมากขึ้น แต่ยังช่วยเพิ่มเงินหมุนเวียนในเศรษฐกิจของประเทศไทยให้สูงขึ้น จากมูลค่าการใช้จ่ายด้านสุขภาพ การแพทย์ และอสังหาริมทรัพย์ เป็นต้น การสานความสัมพันธ์ทางการทูต เศรษฐกิจและสังคมกับจีนอย่างแน่นแฟ้น เพื่อให้ประเทศจีนยังคงเป็นหนึ่งในพันธมิตรที่สำคัญที่สุดของประเทศไทย การส่งเสริมการเดินทางท่องเที่ยวภายในภูมิภาคอาเซียน และการพิจารณายกเว้นวีซ่าให้มีระยะเวลาที่ยาวขึ้น
“ผมมั่นใจว่านโยบายต่างๆ เหล่านี้จะช่วยผลักดันธุรกิจการท่องเที่ยว ซึ่งเป็นหนึ่งในแรงขับเคลื่อนหลักของเศรษฐกิจไทย ให้เติบโตอย่างแข็งแกร่งยิ่งขึ้นไปอีกในปี 2567 นี้” นายวิลเลียมกล่าว
ทั้งนี้ MINT คาดการณ์แนวโน้มที่สดใสต่อเนื่องในปี 2567 จากปริมาณการจองห้องพักของโรงแรมในประเทศไทยช่วงเดือนมกราคมและกุมภาพันธ์ของปีนี้ ที่สูงกว่าจากช่วงเดียวกันของปีก่อนถึง 20-30% และจำนวนห้องพักที่นักท่องเที่ยวชาวจีนได้จองไว้ก็พุ่งทะยานไปเกือบเท่าตัวเมื่อเทียบกับปีที่แล้ว สอดคล้องกับการรายงานของกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาที่แสดงให้เห็นว่าจำนวนนักท่องเที่ยวจีนในประเทศไทยกลับมาแซงหน้านักท่องเที่ยวชาวมาเลเซียขึ้นเป็นอันดับหนึ่งในช่วงสัปดาห์แรกของเดือนนี้
มร.วิลเลียม ไฮเน็ค ประธานกรรมการบริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ MINT กล่าวว่า “ถึงแม้ประเทศจีนจะกำลังเผชิญความท้าทายด้านเศรษฐกิจในประเทศอยู่ในขณะนี้ แต่จำนวนนักท่องเที่ยวจีนที่เดินทางมาเที่ยวเมืองไทยที่เพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ เป็นสัญญาณฟื้นตัวที่ดีของภาคการท่องเที่ยวของไทย และมั่นใจว่าปีนี้จำนวนนักท่องเที่ยวรวมจะเป็นไปตามที่ทางภาครัฐตั้งเป้าหมายไว้ไม่ต่ำกว่า 35 ล้านคน
ธุรกิจโรงแรมของ MINT ที่กระจายอยู่เกือบ 60 ประเทศทั่วโลกได้รับอานิสงส์จากการฟื้นตัวของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของโลก ทั้งการเดินทางท่องเที่ยวและการเดินทางเพื่อธุรกิจ ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากจำนวนเที่ยวบินที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ MINT มั่นใจว่าจะสามารถเพิ่มรายได้และกำไรในแต่ละปีได้ตามแผนธุรกิจ
ขณะเดียวกัน ฐานะการเงินที่แข็งแกร่งขึ้นและกระแสเงินสดจากการดำเนินงานของ MINT ยังช่วยให้บริษัทฯ สามารถเร่งชำระหนี้ก่อนกำหนดและลดอัตราส่วนหนี้สินสุทธิต่อส่วนของผู้ถือหุ้นให้อยู่ในระดับเพียง 1 เท่า ณ สิ้นปี 2566 โดย MINT มุ่งมั่นที่จะลดอัตราส่วนหนี้สินต่อไปในภาวะปัจจุบันที่อัตราดอกเบี้ยยังคงสูงอยู่ เพื่อเพิ่มอัตราทำกำไรสุทธิให้มากขึ้นอีก
ในปี 2567 นี้มีแผนที่จะขยายจำนวนโรงแรมใหม่ๆ ต่อเนื่อง ทั้งลงทุนเองและรับจ้างบริหารและร่วมลงทุนในตลาดใหม่ๆ ที่ไม่เคยลงทุนและตลาดเก่าที่จะมีการขยายจำนวนเพิ่มขึ้น เช่น ปีนี้จะเปิดโรงแรมใหม่ที่ปารีส ฝรั่งเศส ทั้ง 3 แห่ง ด้วยแบรนด์ NH และ NH Collection รวมทั้งเปิดใหม่ที่เมืองเฮลซิงกิ ฟินแลนด์ ด้วยแบรนด์ NH
ปัจจุบันเมื่อสิ้นปี 2566 ที่แล้วกลุ่มไมเนอร์มีโรงแรมที่เปิดบริการแล้วทั่วโลกทั้งลงทุนเอง และรับจ้างบริหารรวม 540 แห่ง และคาดว่าภายในอีก 3 ปีจากนี้จะเพิ่มเป็น 780 แห่ง โดยในเอเชียมีจำนวนห้องพักรวมเป็นสัดส่วน 12% จากจำนวนห้องพักทั้งหมด และอีก 3 ปีเพิ่มเป็น 23% ของจำนวนห้องพักทั้งหมด
ทั้งนี้ ในไทยมีโรงแรมจำนวน 34 แห่ง รวม 5,800 ห้องที่เปิดบริการแล้ว และมีรายได้ในสัดส่วน 11% จากรายได้รวมทั้งหมดของกลุ่มโรงแรมทั่วโลก เป็นอันดับที่ 2 รองจากตลาดยุโรป ที่มีสัดส่วนรายได้รวม 70% สูงที่สุด ส่วนอันดับที่ 3 คือตลาดออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์
สำหรับรายได้เฉลี่ยต่อห้องพักโรงแรมในไทย ไตรมาสที่ 4 ปีที่แล้วโต 40% เมื่อเทียบกับไตรมาสที่ 3 ปีเดียวกัน ส่วนรายได้เฉลี่ยต่อห้องพักทั่วโลกปี 2566 โต 20% เมื่อเทียบกับปี 2565 ส่วนอัตราการเข้าพักโรงแรมในไทยไตรมาสที่ 4 ปี 2566 อยู่ที่ 70% สูงกว่าไตรมาสที่ 3 ปี 2566 ที่มี 64%