xs
xsm
sm
md
lg

แก้ค่าโดยสารแพง! กรมรางแนะรัฐลงทุนรถไฟฟ้า 100% จ่อขยาย 20 บาท "สีชมพู-เหลือง" ใช้รายได้ รฟม.ชดเชยไม่เป็นภาระงบ

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



กรมรางคลอดสูตรค่าโดยสารระบบราง "เพดานขั้นสูง, ค่าแรกเข้า, ขึ้นราคา" เผยรถไฟฟ้า 20 บาทผู้โดยสารเพิ่ม จ่อขยายไป "สีเหลือง-สีชมพู" ใช้รายได้ รฟม.ชดเชย และเตรียมสรุปร่างพ.ร.บ.ขนส่งทางรางฯ ตัด 15 มาตราในหมวดที่ 2 เสนอคมนาคม ก.พ.นี้ เดินหน้าชง ครม.

วันที่ 17 มกราคม 2567 นายพิเชฐ คุณาธรรมรักษ์ อธิบดีกรมการขนส่งทางราง (ขร.) เปิดเผยภายหลังเป็นประธานเปิดการสัมมนารับฟังความคิดเห็น ครั้งที่ 3 โครงการศึกษากำหนดอัตราค่าโดยสารขั้นสูง ค่าแรกเข้า และหลักเกณฑ์การขึ้นอัตราค่าโดยสารขนส่งมวลชนระบบราง ว่า เป็นการสัมมนารับฟังความคิดเห็น พร้อมนำเสนอข้อสรุปการศึกษาครั้งสุดท้าย โดยจะสรุปผลการศึกษาภายในเดือน ก.พ. 2567 และนำเสนอกระทรวงคมนาคมเพื่อจัดทำหลักเกณฑ์การกำหนดอัตราค่าโดยสารขั้นสูง ค่าแรกเข้า และหลักเกณฑ์การขึ้นอัตราค่าโดยสารขนส่งมวลชนระบบราง ร่างข้อกำหนด กฎระเบียบ กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการกำหนดอัตราค่าโดยสารขั้นสูง ค่าแรกเข้า การขึ้นอัตราค่าโดยสารขนส่งมวลชนระบบรางต่อไป

ทั้งนี้ เรื่องค่าโดยสารรถไฟฟ้านั้น ปัจจุบันรัฐบาลโดยกระทรวงคมนาคมมีนโยบายลดภาระค่าครองชีพของประชาชน และเพื่อให้ประชาชนหันมาใช้ระบบขนส่งทางรางมากขึ้น โดยปรับลดอัตราค่าโดยสารสูงสุด 20 บาท ตลอดสาย ตั้งแต่วันที่ 16 ตุลาคม 2566 นำร่อง 2 โครงการ คือ โครงการรถไฟฟ้ามหานคร (MRT) (สายสีม่วง) ช่วงเตาปูน-คลองบางไผ่ และ โครงการรถไฟฟ้าชานเมืองสายสีแดง ช่วงบางซื่อ-รังสิต และช่วงบางซื่อ-ตลิ่งชัน โดยจำนวนผู้โดยสารก่อนเริ่มมาตรการเปรียบเทียบหลังเก็บ 20 บาทตลอดสาย พบว่ามีค่าเฉลี่ยของปริมาณผู้โดยสาร รถไฟชานเมืองสายสีแดง ในช่วงวันทำงานเพิ่มขึ้นร้อยละ 11.01 และช่วงวันหยุดมีผู้โดยสารใช้บริการเพิ่มขึ้นร้อยละ 24.85 ในขณะที่ค่าเฉลี่ยของปริมาณผู้โดยสารระบบรถไฟฟ้าสายสีม่วง ช่วงวันทำงานเพิ่มขึ้นร้อยละ 4.17 และช่วงวันหยุดมีผู้โดยสารใช้บริการเพิ่มขึ้นร้อยละ 13.41 ซึ่งจำนวนผู้โดยสารที่เพิ่มขึ้นหลังเก็บ 20 บาทตลอดสายนั้นสูงกว่าคาดการณ์ และทำให้ประเมินตัวเลขที่รัฐต้องชดเชยรายได้ของทั้ง 2 สายที่ประมาณ 300 ล้านบาท/ปี ก็จะลดลงไปด้วย

โดยกรมรางจะจัดเก็บข้อมูลเพื่อรายงานต่อกระทรวงคมนาคมตัดสินใจก่อนวันที่ 16 ต.ค. 2567 ที่จะครบ 1 ปี เพื่อให้นโยบายพิจารณาว่าจะใช้มาตรการ 20 บาทต่อไปหรือไม่ ซึ่งมั่นใจว่าในรอบปีต่อไปการชดเชยส่วนต่างรายได้จะลดลงจาก 300 ล้านบาท/ปี ตามสัดส่วนปริมาณผู้โดยสารที่เพิ่มขึ้น ซึ่งเพิ่งผ่านมา 3 เดือน หากอีก 9 เดือนมีผู้โดยสารเพิ่มขึ้น เช่น 25% ค่าชดเชยจะลดลง 25% เป็นต้น ซึ่งกรมรางจะร่วมมือกับทุกภาคส่วนในการพัฒนาปรับปรุงระบบฟีดเดอร์เชื่อมต่อกับสถานีรถไฟฟ้า เพื่อเพิ่มความสะดวกและกระตุ้นให้ประชาชนมาใช้รถไฟฟ้าเพิ่มคาดว่าจะเห็นผลในอีก 3 เดือนข้างหน้า


@ลุ้นขยาย 20 บาท "ชมพู-เหลือง" ชี้รฟม.ใช้ส่วนแบ่งรายได้สัมปทานสีน้ำเงินชดเชย

ทั้งนี้ ยอมรับว่าการชดเชยส่วนต่างรายได้ของสายสีแดงต้องใช้งบประมาณ แต่สายสีม่วงนั้นไม่ได้ใช้งบประมาณ โดยการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) ใช้ส่วนแบ่งรายได้จากสัมปทานโครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินมาชดเชย ขณะที่กรมรางมีแนวคิดในการขยายมาตรการค่าโดยสาร 20 บาทกับรถไฟฟ้าสายสีเหลือง (ลาดพร้าว-สำโรง) และรถไฟฟ้าสายสีชมพู (แคราย-มีนบุรี) ที่จำนวนผู้โดยสารอยู่ในระดับ 4-5 หมื่นคน ไม่มากเกินไป โดยประเมินว่า รฟม.ยังสามารถนำรายได้ส่วนแบ่งจากสัมปทานสายสีน้ำเงินมาชดเชยให้สีเหลืองและสีชมพูได้ ซึ่งจะมีการหารือแนวทางกับกระทรวงคมนาคมในสัปดาห์หน้า ส่วน สายสีน้ำเงินมีผู้โดยสารเฉลี่ยกว่า 3 แสนคน/วัน สายสีเขียวมี 7-8 แสนคน/วัน ผู้โดยสารค่อนข้างมาก ดังนั้นการชดเชยอาจจะทำลำบาก

@เสนอรัฐลงทุนระบบราง 100% เหมือนงบสร้าง-ซ่อม ถนน

นายพิเชฐกล่าวว่า ที่ผ่านมาระบบรางมีการลงทุนแบบ PPP ทั้งแบบรัฐลงทุนโครงสร้างโยธา 70% เอกชนลงทุนระบบและเดินรถซ่อมบำรุง 30% หรือให้เอกชนลงทุน 100% ซึ่งเอกชนจึงต้องบวกค่าดำเนินการและซ่อมบำรุงไปที่ค่าโดยสาร ในขณะที่การขนส่งทางบกรัฐเป็นผู้ลงทุนทั้งหมด ก่อสร้างถนน ซ่อมบำรุง รวมไปถึงอุดหนุนราคาน้ำมันดีเซลอีก โดยช่วง 18 เดือนรัฐอุ้มดีเซลไปเป็นเงินกว่า 1.7 แสนล้านบาท ดังนั้น ในระยะยาว การศึกษาของกรมรางจึงเห็นว่าในโครงการรถไฟฟ้าสายใหม่ๆ จากนี้รัฐควรลงทุนระบบราง 100% เหมือนลงทุนถนนที่รัฐจัดสรรงบประมาณก่อสร้างถนนและซ่อมบำรุง

ซึ่งจะเป็นรูปแบบ PPP Gross Cost รัฐลงทุนหมด 100% แล้วจ้างเอกชนมาเดินรถ ซึ่งจะทำให้รัฐกำหนดค่าโดยสารเท่าไรก็ได้ โดยหลัง พ.ร.บ.ขนส่งทางรางมีผลบังคับใช้ กรมรางจะเสนอคณะกรรมการนโยบายฯ พิจารณา แต่ประเด็นคือ พอบอกให้รัฐลงทุนระบบราง ขนส่งมวลชนมีคำถาม แต่เวลารัฐจัดงบก่อสร้างถนนหรืออุ้มราคาน้ำมันดีเซลกลับไม่มีคำถามเรื่องภาระงบประมาณ


@สรุปร่าง พ.ร.บ.ขนส่งทางราง ตัด 15 มาตรา เสนอคมนาคม ก.พ.นี้ เร่งชง ครม.

นายพิเชฐกล่าวว่า จากการสำรวจความเห็นของประชาชนในพื้นที่ กทม.และปริมณฑล พบว่าประชาชนยอมรับที่จะจ่ายค่าโดยสารระบบรางในอัตราสูงสุดไม่เกิน 42 บาทต่อการเดินทาง 1 ครั้ง ไม่ว่าจะต่อรถไฟฟ้ากี่สาย โดยมีระยะทางเฉลี่ยในการเดินทางต่อครั้งที่ประมาณ 13 กม. และพบว่าอัตราค่าโดยสารระบบรางในต่างจังหวัดควรถูกกว่าใน กทม.และปริมณฑลเพราะประชาชนมีศักยภาพในการจ่ายค่าโดยสารน้อยกว่า

โดยการจัดทำอัตราค่าโดยสารขั้นสูง ค่าแรกเข้าและหลักเกณฑ์การขึ้นอัตราค่าโดยสารขนส่งมวลชนระบบราง จะเป็นหนึ่งในหมวดของร่างพระราชบัญญัติขนส่งทางราง พ.ศ. ....ที่ปัจจุบันพ.ร.บ.ขนส่งทางราง พ.ศ. ....นั้นอยู่ในขั้นตอนการรับฟังความเห็น ถึงวันที่ 31 ม.ค. 2567 โดยมีการปรับปรุงตัดหมวดที่ 2 ส่วนที่ 2 การเสนอโครงการการขนส่งทางราง ซึ่งเห็นว่ามีกฎหมายอื่นแล้ว โดยทำให้เหลือ 150 มาตรา จากเดิมมี 165 มาตรา โดยหลังปิดรับฟังความเห็น กรมฯ จะทำบทวิเคราะห์ความเห็น และนำเสนอกระทรวงคมนาคมภายในเดือน ก.พ. 2567 เพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบ จากนั้นจะเข้าสู่การพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎร วาระ 1 ต่อไป คาดว่าจะบังคับใช้ได้ในปลายปี 2567


@สภาองค์กรผู้บริโภคแนะค่าโดยสาร 5-10% ของรายได้ เหมาะสมที่สุด

ด้านนางสาวสารี อ๋องสมหวัง เลขาธิการสำนักงานสภาองค์กรของผู้บริโภค กล่าวในเวทีเสวนา “โอกาสในการเข้าถึงการพัฒนาพื้นที่ กระจายความเจริญ จากนโยบายค่าโดยสารระบบขนส่งมวลชนทางราง” ว่า รัฐควรกำหนดค่าโดยสารรถไฟฟ้าไม่เกิน 5-10% ของรายได้ขั้นต่ำและทำเป็นกลไกอัตโนมัติ ซึ่งเป็นหลักสากลที่หลายประเทศใช้ อีกทั้งไม่ต้องมีปัญหากับผู้ให้บริการ โดยไม่มีค่าแรกเข้าที่ซ้ำซ้อน มีเส้นทางครอบคลุม นอกจากนี้ ต้องให้ประชาชนเข้าถึงระบบได้ใน 15 นาที หรือ 500 เมตร และมีความถี่ไม่เกิน 15 นาทีในชั่วโมงเร่งด่วน และไม่เกิน 30 นาทีในช่วงนอกเร่งด่วน

ทั้งนี้ ภาคประชาชนสนับสนุนค่าโดยสารรถไฟฟ้า 20 บาท โดยรัฐบาลทั่วโลกเป็นผู้ลงทุนขนส่งสาธารณะและไม่มีประเทศไหนที่ประชาชนจ่ายค่าโดยสาร 100% โดยรัฐไม่อุดหนุน เพราะระบบขนส่งมวลชนจะเป็นคุณภาพชีวิตของประชาชน ลดปัญหา PM 2.5 ซึ่งในปี 2566 คนไทยป่วยไปโรงพยาบาลด้วยปัญหา PM 2.5 ถึง 1.739 ล้านคน ซึ่งคิดเป็นค่าใช้จ่ายสาธารณสุข 1.20 หมื่นล้านบาท ประชาชนเสียค่าเดินทางไปโรงพยาบาลและขาดรายได้ราว 3,000-5,000 ล้านบาท


@เปิดสูตรโครงสร้างเพดานค่าโดยสาร

สำหรับผลการศึกษากำหนดอัตราค่าโดยสารขั้นสูง ค่าแรกเข้าและหลักเกณฑ์การขึ้นอัตราค่าโดยสารขนส่งมวลชนระบบราง ประกอบด้วย 1. อัตราค่าโดยสารระหว่างเมือง คำนวณอัตราค่าโดยสารตามระยะทาง แบ่งได้ดังนี้ ชั้น 1 : ระยะทาง 100 กม. แรก ราคา 1.165 บาทต่อ กม., ระยะทาง 101-200 กม. ราคา 1.066 บาทต่อ กม., ระยะทาง 201-300 กม. ราคา 0.981 บาทต่อ กม., ระยะทางมากกว่า 300 กม. ราคา 0.924 บาทต่อ กม. ทั้งนี้ การขึ้นค่าโดยสารจะไม่เกินร้อยละ 25 จากความพึงพอใจที่จะจ่าย

ชั้น 2 : ระยะทาง 100 กม.แรก ราคา 0.610 บาทต่อ กม., ระยะทาง 101-200 กม. ราคา 0.525 บาทต่อ กม., ระยะทาง 201-300 กม. ราคา 0.469 บาทต่อ กม., ระยะทางมากกว่า 300 กม. ราคา 0.420 บาทต่อ กม. ทั้งนี้ การขึ้นค่าโดยสารจะไม่เกินร้อยละ 25 จากความพึงพอใจที่จะจ่าย และขึ้นค่าโดยสารเฉพาะตู้นอน

ชั้น 3 : ระยะทาง 100 กม.แรก ราคา 0.269 บาทต่อ กม., ระยะทาง 101-200 กม. ราคา 0.255 บาทต่อ กม., ระยะทาง 201-300 กม. ราคา 0.200 บาทต่อ กม., ระยะทางมากกว่า 300 กม. ราคา 0.181 บาทต่อ กม.

2. อัตราค่าโดยสารเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล ใช้หลักเกณฑ์การคำนวณตาม MRT Standardization (MRT STD) ทั้งค่าแรกเข้าและอัตราค่าโดยสารตามระยะทาง (บาท/กม.) การคำนวณค่าโดยสารขั้นสูง คือ ค่าแรกเข้า + (อัตราค่าโดยสาร (บาท/กม.) x ระยะทางเปอร์เซนไทล์ที่ 85) และการขึ้นค่าโดยสารจะใช้ดัชนีราคาผู้บริโภค แบบไม่รวมอาหารและเครื่องดื่ม (CPI NFB) กรุงเทพฯ

3. อัตราค่าโดยสารในเมือง ภูมิภาค 7 จังหวัด มีหลักเกณฑ์การคำนวณตาม MRT STD โดยใช้ CPI NFB รายจังหวัด คือ ค่าแรกเข้า (10.79-12.17 บาท) และอัตราค่าโดยสารตามระยะทาง (บาท/กม.) (1.94-2.19 บาทต่อ กม.) ทั้งนี้ มีหลักเกณฑ์การคำนวณค่าโดยสารขั้นสูง คือ ค่าแรกเข้า + (อัตราค่าโดยสาร (บาท/กม.) x ระยะทางเปอร์เซนไทล์ที่ 85)

4. อัตราค่าโดยสารรถไฟความเร็วสูง เมื่อพิจารณาต้นทุนและปัจจัยที่เกี่ยวข้องแล้ว จะกำหนดค่าแรกเข้า (95 บาท) และอัตราค่าโดยสารตามระยะทาง (บาท/กม.) โดยระยะทาง 300 กม. แรก ราคา 1.97 บาทต่อ กม. และระยะทางมากกว่า 300 กม. ราคา 1.70 บาทต่อ กม. ทั้งนี้ การขึ้นค่าโดยสารจะใช้ CPI NFB ทั่วประเทศ


กำลังโหลดความคิดเห็น