ผู้จัดการรายวัน 360 - เวฟ เอกซ์โพเนนเชียล ส่งสัญญาณฟื้นตัวชัดเจน โชว์ไตรมาส3/2566 มีรายได้ 119 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 53% กำไรสุทธิพลิกเป็นบวก รับอานิสงส์ธุรกิจสอนภาษาวอลล์สตรีท อิงลิช เติบโตสูง -เปิดสาขาในลาวและชลบุรี ขณะเดียวกัน สามารถบริหารต้นทุนได้ดี ดันอัตรากำไรขั้นต้นแตะ 44% สูงสุดในรอบ 7 ไตรมาส เผยเดินหน้าซื้อคาร์บอนเครดิตเข้าคลังสินค้าแตะ 385.44 ล้านบาท หวังช่วยเอกชนไทยเพิ่มขีดแข่งขัน และมุ่งสู่เป้าหมายคลังคาร์บอนเครดิตใหญ่สุดในไทยและเอเชียแปซิฟิค
นายเจมส์ แอนดริว มอร์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เวฟ เอกซ์โพเนนเชียล จำกัด (มหาชน) หรือ WAVE เปิดเผยถึงผลการดำเนินงานรวมสำหรับไตรมาส 3 สิ้นสุดวันที่ 30 ก.ย. 2566 ว่า บริษัทมีรายได้ 119.36 ล้านบาท เพิ่มขึ้นถึง 53% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยรายได้ส่วนใหญ่มาจากธุรกิจสอนภาษาอังกฤษ Wall Street English นอกจากนี้ บริหารจัดการควบคุมต้นทุนได้อย่างดี ส่งผลให้สัดส่วนต้นทุนรวมต่อรายได้ลดลงเหลือเพียง 56 %จากเดิม 82% กลุ่มบริษัทจึงมีสัดส่วนกำไรขั้นต้นมากถึง 44% ซึ่งรายได้และกำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้นสูงที่สุดในรอบ 7 ไตรมาสที่ผ่านมา
ด้วยความสามารถในการบริหารต้นทุนและค่าใช้จ่ายในการขายได้อย่างมีประสิทธิภาพ ส่งผลให้การดำเนินงานในไตรมาส 3 / 2566 บริษัทมีกำไรสุทธิ 2.47 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 110% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนที่มีผลขาดทุนสุทธิ 25.17 ล้านบาท
“รายได้ของบริษัทเติบโตขึ้นอย่างมาก ในไตรมาส 3 / 2566 มาจากการพัฒนากลยุทธ์ในการขายและการตลาด ผ่านการจัดกิจกรรมทางการตลาดต่างๆ และมีการเปิดแฟรนไชส์ที่สาขาเวียงจันทน์ ประเทศลาว และสาขาศรีราชา จังหวัดชลบุรี ประกอบกับเศรษฐกิจไทยฟื้นตัวกลับมาดีขึ้น ส่งผลให้รายได้ของธุรกิจสอนภาษาเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง” นายเจมส์ กล่าว
นายเจมส์กล่าวอีกว่า ในไตรมาสที่ 3 บริษัทมีรายได้รับล่วงหน้า (Cash Sale) จากนักเรียนที่ซื้อคอร์สเรียนล่วงหน้าเพิ่มขึ้น 26.25 ล้านบาท จาก 158.70 ล้านบาท เป็น 184.95 ล้านบาท เมื่อเทียบกับงบการเงิน ณ สิ้นเดือน ธ.ค.2565 ซึ่งจะรับรู้เป็นรายได้ในงบการเงินเมื่อนักเรียนมาใช้บริการ
สำหรับผลการดำเนินงานงวด 9 เดือน บริษัทมีผลขาดทุนสุทธิ 13.42 ล้านบาท ขาดทุนลดลง 10.89 ล้านบาท (+45%) จากการบริหารงานที่สามารถเพิ่มยอดขายให้สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง และการควบคุมการจัดการต่างๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ส่งผลให้สัดส่วนกำไรสุทธิสำหรับงวดที่เพิ่มสูงขึ้น ทำให้ผลขาดทุนมีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่อง และหากพิจารณาร่วมกับกำไรที่ได้จากการจำหน่ายหุ้นบริษัท เดอะ เมกะวัตต์ จำกัด จำนวน 14.40 ล้านบาท รวมถึงการปรับปรุงรายการอื่นๆ บริษัท มีผลกำไรเบ็ดเสร็จสำหรับงวด 0.48 ล้านบาท
บริษัทมีสินทรัพย์รวม ณ วันที่ 30 ก.ย.2566 จำนวน 1,175.68 ล้านบาท ลดลงจากสิ้นปี 2565 จำนวน 34.29 ล้านบาท หรือลดลง 3% จากการนำเงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสดไปจ่ายซื้อคาร์บอนเครดิตเข้าคลังสินค้า (Stock) รวมถึงจ่ายค่าใช้จ่ายค้างจ่ายที่มีอยู่ ส่งผลให้บริษัทมีสินค้าคงเหลือที่เป็นคาร์บอนเครดิตเพิ่มขึ้น 385.44ล้านบาท จากไตรมาส 2 /2566 จำนวน 210.86 ล้านบาท จาก 174.58 ล้านบาท เป็น 385.44 ล้านบาท)
“บริษัทยังคงดำเนินการตามวิสัยทัศน์ เพื่อสนับสนุนผู้ประกอบการไทยและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันในระดับโลก ในการบรรลุเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน ด้วยการให้บริการ Climate Solution แบบครบวงจรและเป็นคลังคาร์บอนเครดิตที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทยและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จึงซื้อสินค้าคาร์บอนเครดิต เพื่อรองรับการขายในอนาคต” นายเจมส์ กล่าว