เถ้าแก่น้อย ฟู๊ดแอนด์มาร์เก็ตติ้ง แจ้งรายได้จากการขาย 1,436.0 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 18.8% จากไตรมาสเดียวกันปีที่ผ่านมา และมีกำไรสุทธิ 214.9 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 19.4% จากไตรมาสเดียวกันปีที่ผ่านมา ดันผลงานงวด 9 เดือนแรกปีนี้มีรายได้จากการขาย 3,983.8 ล้านบาท และทำกำไรสุทธิ 575.8 ล้านบาท รุกหนักขยายช่องทางจำหน่ายในตลาดต่างประเทศ พร้อมพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้มีความหลากหลาย หนุนเพิ่มมาร์จิ้น ด้านบอร์ดอนุมัติจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลครั้งที่ 2 อัตรา 0.10 บาทต่อหุ้น
นายอิทธิพัทธ์ พีระเดชาพันธ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เถ้าแก่น้อย ฟู๊ดแอนด์มาร์เก็ตติ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ TKN ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายสาหร่ายทะเลแปรรูปทั้งในและต่างประเทศภายใต้ตราสินค้า “เถ้าแก่น้อย” รวมถึงขนมขบเคี้ยว และผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ เปิดเผยถึงภาพรวมผลการดำเนินงานในไตรมาส 3/2566 (กรกฎาคม-กันยายน) บริษัทประสบความสำเร็จในการผลักดันการเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง โดยมีรายได้จากการขาย 1,436.0 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 18.8% และมีกำไรสุทธิ 214.9 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 19.4% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งมีปัจจัยมาจาก 1.การขายผลิตภัณฑ์ให้มีความหลากหลาย (Product Mix) ด้วยการเพิ่มยอดขายสาหร่ายแบบอบมากขึ้น ทำให้มีมาร์จิ้นสูงขึ้น ซึ่งได้รับความนิยมเป็นอย่างมากทั้งตลาดในและต่างประเทศ และ 2.เพิ่มช่องทางจำหน่ายในตลาดต่างประเทศ โดยเฉพาะตลาดสหรัฐอเมริกา อินโดนีเซีย และมาเลเซีย พร้อมวางแผนขยายตลาดไปในประเทศแถบยุโรปเพิ่มเติม ซึ่งจะใช้โมเดลธุรกิจคล้ายกับในสหรัฐฯ เพื่อขยายตลาด
ขณะที่ผลการดำเนินงานในงวด 9 เดือนแรกของปี 2566 (มกราคม-กันยายน) มีรายได้จากการขาย 3,983.8 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 27.1% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ที่มีรายได้จากการขาย 3,135.1 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 575.8 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 83.6% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ที่มีกำไรสุทธิ 313.6 ล้านบาท และสามารถรักษาระดับการทำอัตรากำไรสุทธิ (Net Profit Margin) ที่ 15% ใกล้เคียงกับที่ผ่านมา โดยบริษัทยึดมั่นการดำเนินกลยุทธ์ 3 Go (Go Firm Go Brand Go Global) ส่งผลให้การดำเนินงานเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะกลยุทธ์ Go Firm ในการ Lean องค์กรให้มีความคล่องตัวพร้อมรับมือกับสถานการณ์ต่างๆ เช่น ต้นทุนราคาสาหร่ายที่ปรับเพิ่มขึ้นมา โดยบริษัทยังให้ความสำคัญกับการเพิ่มขีดความสามารถในการทำกำไร และรักษาอัตราการทำกำไรให้ดีขึ้น
ทั้งนี้ สัดส่วนรายได้จากตลาดในประเทศคิดเป็น 35% และต่างประเทศ 65% ซึ่งทุกกลุ่มประเทศที่ส่งออกสินค้ามีอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะประเทศจีนมียอดคำสั่งซื้อฟื้นตัวต่อเนื่อง เฉลี่ย 150 ตู้คอนเทนเนอร์ต่อเดือน ขณะที่ตลาดในอินโดนีเซีย คาดว่าจะปรับตัวดีขึ้นในไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ หลังมีดิสทริบิวเตอร์รายใหม่เข้ามาช่วยขยายช่องทางจำหน่ายหลากหลายกลุ่ม ทั้งร้านค้าแบบดั้งเดิม หรือ Traditional Trade (TT) รวมถึงร้านค้าท้องถิ่น Local Modern Trade (MT) นอกจากนี้ ด้านบริษัทในเครือที่ประเทศสหรัฐอเมริกา สามารถปรับปรุงผลประกอบการกลับมาเกินกว่าจุดคุ้มทุน (Break Even) ได้แล้ว หลังจาก 2-3 ปีที่ผ่านมามีผลงานขาดทุน
ทั้งนี้ ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทได้พิจารณาจากงบเฉพาะกิจการและอนุมัติการจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลงวดผลการดำเนินงานไตรมาส 3 ของปี 2566 (กรกฎาคม-กันยายน) ในอัตราหุ้นละ 0.10 บาท ซึ่งกำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิได้รับเงินปันผล (Record Date) โดยจะขึ้นเครื่องหมาย XD ในวันที่ 23 พฤศจิกายน 2566 และกำหนดจ่ายเงินปันผลในวันที่ 7 ธันวาคม 2566 ทั้งนี้ หากรวมกับเงินปันผลระหว่างกาลในอัตราหุ้นละ 0.21 บาท ที่จ่ายเมื่อวันที่ 6 กันยายน 2566 ทำให้ผู้ถือหุ้นได้รับเงินปันผลไปแล้ว 0.31 บาทต่อหุ้น
ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร TKN กล่าวว่า บริษัทมั่นใจผลการดำเนินงานในนี้จะเติบโต 20% ตามเป้าหมายที่วางไว้ ซึ่งผลิตภัณฑ์สาหร่าย “เถ้าแก่น้อย” ยังสามารถครองตำแหน่งผู้นำตลาดสาหร่ายอันดับ 1 ในทุกๆกลุ่ม ทั้งทอด อบ ย่าง ขณะเดียวกัน บริษัทได้ขยายธุรกิจของบริษัทในเครือบริษัท เถ้าแก่น้อย เรสเตอรองท์ แอนด์ แฟรนไชส์ จำกัด (TKNRF) โดยได้ร่วมมือกับพันธมิตร ‘ร้าน 71 หมูกระทะ’ เพื่อขยายสาขาร้านอาหารภายใต้โมเดลแฟรนไชส์ และได้เปิดร้าน 71 หมูกระทะแห่งแรกที่เป็นสาขาแฟรนไชส์ในทำเลย่านบรรทัดทอง ซึ่งได้รับผลตอบรับดีจากผู้บริโภค และเตรียมพร้อมศึกษาการเปิดสาขาเพิ่มเติม 2-3 สาขาในปีหน้า