เอเชีย กรีน เอนเนอจี แจ้งผลการดำเนินงานงวดไตรมาส 3 โชว์รายได้ 3,107.7 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 112.6 ล้านบาท จากปริมาณการขายถ่านหินปรับตัวเพิ่มขึ้น พร้อมส่งสัญญาณธุรกิจในช่วงโค้งสุดท้ายของปี 2566 ปริมาณการขายถ่านหินแตะ 4 ล้านตันตามเป้า พร้อมขยายการให้บริการโลจิสติกส์ และ Leasing แก่ลูกค้าภายนอกเพิ่ม
นายพนม ควรสถาพร ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เอเชีย กรีน เอนเนอจี จำกัด (มหาชน) (AGE) ผู้จัดจำหน่ายถ่านหินบิทูมินัส (ถ่านหินสะอาด) และผู้ให้บริการด้านโลจิสติสก์แบบครบวงจร ขนส่งทางน้ำ ทางบก ท่าเรือ คลังสินค้า เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานงวดไตรมาส 3/2566 บริษัทมีรายได้จากการขายและบริการ 3,107.7 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 11.4% เทียบไตรมาสก่อน โดยแบ่งเป็นรายได้จากการขายถ่านหินที่ 2,963.7 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 11.9% จากไตรมาสก่อน รายได้จากธุรกิจให้บริการโลจิสติกส์ที่ 144 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 0.9% ส่งผลให้ไตรมาสดังกล่าวมีกำไรสุทธิ 112.6 ล้านบาท จากปริมาณการขายถ่านหินทั้งในประเทศและต่างประเทศที่เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 0.95 ล้านตัน
ขณะที่ผลการดำเนินงานงวด 9 เดือนแรกของปี 2566 บริษัทมีรายได้จากการขายและบริการ 10,399 ล้านบาท ลดลง 23.5% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา และมีกำไรสุทธิ 238.6 ล้านบาท ลดลง 74.8% จากราคาถ่านหิน และปริมาณการขายถ่านหินที่ปรับตัวลดลง และกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนที่ลดลงในปีนี้ โดยปริมาณการขายถ่านหินในงวด 9 เดือนของปี 2566 อยู่ที่ 2.7 ล้านตัน ปรับตัวลดลงเล็กน้อยเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมาที่ 9.6% (YoY) และรายได้จากธุรกิจให้บริการโลจิสติกส์ กับกลุ่มลูกค้าภายนอกงวด 9 เดือนแรกของปี 2566 อยู่ที่ 454 ล้านบาท ลดลง 4.8% (YoY)
นอกจากนี้ ประธานกรรมการบริหาร AGE กล่าวถึงภาพรวมธุรกิจในช่วงโค้งสุดท้ายของปี 2566 ว่า ถึงแม้ว่าปริมาณการนำเข้าถ่านหินของประเทศไทยในปีนี้จะปรับตัวลดลงจากปีที่ผ่านมา จากปัญหาสภาวะเศรษกิจ แต่บริษัทยังคงมั่นใจว่าปริมาณการขายในปีนี้จะใกล้เคียงกับเป้าที่ 4 ล้านตัน และบริษัทยังคงมุ่งเน้นการบริหารจัดการต้นทุนสินค้า ต้นทุนการขนส่งและการบริหารการจัดการสินค้าคงคลังให้มีประสิทธิภาพสูงสุด
ทั้งนี้ AGE ยังคงเดินหน้าขยายการให้บริการด้านโลจิสติกส์กับกลุ่มลูกค้าภายนอกอย่างต่อเนื่อง โดยปัจจุบันมีรถบรรทุกให้บริการ 104 คัน เรือลำเลียง 35 ลำ รองรับงานให้บริการขนส่งโลจิสติกส์ทั้งสินค้าเกษตร และสินค้าอุตสาหกรรม ขณะที่ในส่วนของท่าเรือของ AGE ซึ่งตั้งอยู่ในพื้นที่ของอำเภอนครหลวง จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ได้ผ่าน EIA (Environmental Impact Assessment) หรือการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ล่าสุด บริษัทได้รับการประเมินการกำกับดูแลกิจการบริษัทจดทะเบียนไทย (CGR) อยู่ในระดับ 5 ดาว หรือ “ดีเลิศ” (Excellent CG Scoring) จากสมาคมส่งเสริมสถาบันกรรมการบริษัทไทย (IOD) โดยการสนับสนุนจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย อีกทั้งยังได้รับเลือกเป็น 1 ใน 193 บริษัทจดทะเบียนติดอันดับหุ้นยั่งยืน SET ESG Ratings ประจำปี 2566 ต่อเนื่องเป็นปีที่ 6 ในกลุ่มอุตสาหกรรม Resources ที่ระดับ Ratings BBB จากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ถือเป็นการตอกย้ำศักยภาพการดำเนินธุรกิจที่มุ่งเน้นพัฒนาการกำกับดูแลกิจการ ควบคู่การดำเนินธุรกิจเติบโตอย่างยั่งยืน ภายใต้ปรัชญาการสร้างสมดุลระหว่างการดำเนินธุรกิจ พร้อมกับการดูแลสังคมและสิ่งแวดล้อมเพื่อการ “เติบโต ต่อเนื่อง และยั่งยืน”