xs
xsm
sm
md
lg

จับตา! ธุรกิจปิโตรเคมีปี 67 “เห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์’ SCGC-PTTGC ฟันธง 1-2 ปีตลาดสู่ภาวะปกติ

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ปี 2566 ธุรกิจปิโตรเคมีต้องเผชิญกับภาวะเศรษฐกิจถดถอยอันเนื่องจากการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อสกัดเงินเฟ้อของหลายประเทศ ความผันผวนของราคาน้ำมัน รวมทั้งการเปิดประเทศเต็มรูปแบบของจีนมีการฟื้นตัวของความต้องการใช้ปิโตรเคมีช้ากว่าที่คาดการณ์ไว้ และกำลังการผลิตใหม่ที่เข้าสู่ตลาด กดดันให้ภาพรวมปิโตรเคมียังคงอยู่ในภาวะอ่อนตัวอย่างต่อเนื่อง

แต่ขณะนี้บริษัทที่ดำเนินธุรกิจปิโตรเคมีเริ่มเห็นสัญญาณการค่อยๆฟื้นตัว ทำให้ผลประกอบการในไตรมาส 3/2566 ปรับตัวสูงขึ้น เช่น บริษัทเอสซีจี เคมิคอลส์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCGC ในเครือปูนซิเมนต์ไทย (SCC) มีรายได้จากการขายในไตรมาส 3 ปี 2566 อยู่ที่ 49,663 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 2 จากไตรมาสก่อน เนื่องจากปริมาณขายเพิ่มขึ้น ขณะที่ลดลงร้อยละ 13 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน จากราคาสินค้าที่ปรับตัวลง และมีกำไรสำหรับงวด 1,052 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 311 ล้านบาท จากไตรมาสก่อน และเพิ่มขึ้น 1,391 ล้านบาทจากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากมีกำไรจากการปรับมูลค่าสินค้าคงเหลือและปริมาณขายเพิ่มขึ้น

 

 


นายธรรมศักดิ์ เศรษฐอุดม รองกรรมการผู้จัดการใหญ่และดูแลงานการเงินและการลงทุน บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) หรือ SCC ประเมินแนวโน้มอุตสาหกรรมปิโตรเคมีในปี 2567 ว่า จะเห็นการฟื้นตัวดีขึ้นของโพลีเอทิลีน (PE) อย่างเด่นชัด เนื่องจากมีกำลังการผลิตใหม่เข้าสู่ตลาดน้อยลง ขณะที่ความต้องการใช้โพลีเอทิลีนเพิ่มสูงขึ้น ทำให้แนวโน้มราคาโพลีเอทิลีนจะค่อยๆ ปรับตัวดีขึ้น สวนทางกับตลาดโพลีโพรพิลีน (PP) ที่ยังได้รับผลกระทบจากกำลังการผลิตใหม่เข้าสู่ตลาดอีก 4-5 ล้านตันต่อปี ซึ่งจะกดดันให้ราคาและมาร์จิ้นของโพลีโพรพิลีนในปี 2567 ไม่สดใสเช่นเดียวกับปีนี้

ดังนั้น ผลิตภัณฑ์โพลีโพรพิลีนคงต้องใช้เวลาสักระยะหนึ่งจึงจะเข้าสู่ภาวะสมดุล คาดว่าในปี 2568 ตลาดโพลีโพรพิลีนจะมีการฟื้นตัวดีขึ้น

เดินหน้า COD โครงการ LSP ที่เวียดนาม

ส่วนความคืบหน้าโครงการ Long Son Petrochemicals Company Limited (LSP) ซึ่งเป็นโครงการปิโตรเคมีครบวงจรแห่งแรกที่เวียดนาม ขณะนี้โรงงานเริ่มทยอยแล้วเสร็จและเตรียมทดสอบเครื่องจักรในเดือนพฤศจิกายน-ธันวาคมนี้ เพื่อผลิตโอเลฟินส์และเม็ดพลาสติกคุณภาพสูงป้อนเวียดนามและตลาดโลกในปี 2567

สิ่งสำคัญขณะนี้ คือการเดินเครื่องจักรโครงการ LSP ให้ได้ตามแผนงานที่กำหนดไว้ ไม่ให้เกิดข้อผิดพลาด แม้ว่าตลาดปิโตรเคมียังอยู่ในวัฏจักรขาลง แต่ประเมินว่าผลิตภัณฑ์ PE ก็ค่อยฟื้นตัวช่วงครึ่งหลังปี 2567 ขณะเดียวกัน โครงการ LSP มีการออกแบบในการใช้ก๊าซฯ เป็นวัตถุดิบได้มากถึงร้อยละ 70 หากแนฟทามีราคาสูง นับว่าเป็นโครงการที่มีความยืดหยุ่นในการเลือกใช้ Feedstock ช่วยเพิ่มกำไรก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี และค่าเสื่อมราคา (EBITDA) และสภาพคล่องให้ SCC ด้วย

อย่างไรก็ตาม ภายหลังโครงการ LSP ดำเนินการผลิตเชิงพาณิชย์ (COD) แล้ว เท่ากับว่า SCC จะมีฐานการผลิตปิโตรเคมีคอมเพล็กซ์ถึง 3 แห่งทั้งที่ไทย อินโดนีเซีย และเวียดนาม ดังนั้นทำอย่างไรจึงจะใช้ฐานการผลิตทั้ง 3 แห่งนี้สร้าง Benefit ให้สูงที่สุด เบื้องต้นบริษัทจะพิจารณาว่าโรงงานใดเหมาะที่จะผลิตผลิตภัณฑ์ใดเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด ส่วนการลงทุนโครงการ LSP แห่งที่ 2 ในเวียดนาม มองว่ายังไม่ใช่จังหวะที่เหมาะสม และไม่มีการพิจารณาลงทุนในช่วงนี้


รอจังหวะนำ SCGC เข้าตลาดหุ้น

ส่วนการนำบริษัท เอสซีจี เคมิคอลส์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCGC เข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ฯ นั้น เรื่องนี้ต้องผ่านการอนุมัติจากที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ ก่อน ขณะนี้ยังไม่ได้มีการเสนอเรื่องดังกล่าว ภายหลังจากบริษัทแจ้งการตัดสินใจเลื่อนการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนต่อประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) ของ SCGC ออกไปเมื่อปลายเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา เนื่องจากมีหลายปัจจัยที่ไม่เอื้ออำนวยในการนำ SCGC เข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ ในช่วงนั้น ไม่ว่าจะเป็นความพร้อมของตลาดทั้งในและต่างประเทศที่จะรองรับ IPO ขนาดใหญ่จากบริษัทไทยในขณะนี้ รวมถึงสถานการณ์ภายนอก เช่น ด้านเศรษฐกิจ และวิกฤตราคาพลังงาน เป็นต้น

ที่ผ่านมาสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์เมื่อวันที่ 12 เมษายน 2566 แจ้งขยายระยะเวลาการอนุญาตให้เสนอขายหุ้น IPO ของ SCGC ออกไปถึงวันที่ 4 ตุลาคม 2566 และไม่สามารถขยายระยะเวลาดังกล่าวออกไปได้อีก ซึ่งเป็นไปตามที่ประกาศคณะกรรมการกำกับตลาดทุนที่เกี่ยวข้องกำหนด โดย SCGC ยกเลิกที่จะขายหุ้น IPO ออกไป
ดังนั้น หาก SCGC เข้าตลาดหุ้น ก็ต้องยื่นคำขออนุญาตการเสนอขายหลักทรัพย์และแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายหลักทรัพย์และร่างหนังสือชี้ชวน (Filling) ต่อ ก.ล.ต.ใหม่อีกครั้ง ประเมินว่า SCC คงต้องการรอให้ตลาดปิโตรเคมีฟื้นตัวและโครงการ LSP เดินเครื่องเชิงพาณิชย์ก่อน เพื่อสะท้อนศักยภาพของ SCGC ในฐานะผู้นำธุรกิจเคมีภัณฑ์ครบวงจรในภูมิภาคอาเซียน และมีความสามารถในการเติบโตอย่างต่อเนื่องผ่านการขยายธุรกิจและการเข้าเป็นพันธมิตรทางธุรกิจกับผู้ประกอบธุรกิจปิโตรเคมีชั้นนำระดับโลก

อาทิ SCGC ได้ลงทุนในบริษัท ซีพลาสต์ (Sirplaste) ประเทศโปรตุเกส โดยเข้าถือหุ้นในสัดส่วนร้อยละ 70 ถือเป็นหนึ่งในกลยุทธ์ด้านเศรษฐกิจหมุนเวียน และการขยายตัวสู่ตลาดพลาสติกรีไซเคิลในยุโรป ล่าสุดซีพลาสต์ได้ดำเนินการติดตั้งเครื่องจักรใหม่ ทำให้มีกำลังการผลิตเม็ดพลาสติกรีไซเคิลคุณภาพสูงรวม 45,000 ตันต่อปี โดยจะเร่งเดินหน้าผลิตเม็ดพลาสติกรีไซเคิลคุณภาพสูงชนิดไร้กลิ่น (High Quality Odorless HDPE PCR Resin) รองรับความต้องการในยุโรปที่มีการเติบโตเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง, การจัดตั้งบริษัทร่วมทุน “บราสเคม สยาม” ซึ่งเป็นการร่วมทุนกับกลุ่มบริษัท Braskem ประเทศบราซิล เพื่อศึกษาและพัฒนาโครงการอย่างละเอียดก่อนทำการตัดสินใจลงทุนขั้นสุดท้าย (FID) เพื่อก่อสร้างโรงงานวัตถุดิบในการผลิตเม็ดพลาสติกชีวภาพ (Green-PE) ขนาดกำลังผลิต 2 แสนตันต่อปีในนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด จ.ระยอง สอดรับเป้าหมายของ SCGC ที่วางเป้าผลิตกรีนพอลิเมอร์ให้ได้ 1 ล้านตันต่อปีในปี 2573 จากปัจจุบันอยู่ที่ 170,000 ตันต่อปี นับเป็นการปรับตัวสู่ธุรกิจพลาสติกรักษ์โลกครบวงจร ตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ


อย่างไรก็ดี เนื่องจากสถานการณ์เศรษฐกิจโลกมีความผันผวน การตัดสินใจลงทุนโครงการใหม่จะต้องเป็นโครงการที่สร้างผลตอบแทนที่ดี และเข้าสู่ New S-Curve ระยะยาว รวมทั้งต้องเป็นโครงการ Low Carbon ด้วย ซึ่งปัจจุบัน SCC มีเงินสดราวแสนล้านบาท แต่ยังเข้มงวดการลงทุนใหม่อย่างรอบคอบเพื่อพร้อมรับสถานการณ์ต่างๆ ที่คาดไม่ถึง

โดยบริษัทเร่งเดินหน้า 3 กลยุทธ์เข้มข้นขึ้น เพื่อรับมือสงครามอิสราเอล-กลุ่มฮามาส และสงครามรัสเซียที่ยืดเยื้อ เพื่อให้ธุรกิจดำเนินได้ต่อเนื่อง ได้แก่ 1. การเร่งรัดเข็มขัด ควบคุมค่าใช้จ่ายอย่างรัดกุม มุ่งลดต้นทุนพลังงาน เพิ่มสัดส่วนพลังงานสะอาดแทนการใช้พลังงานฟอสซิลซึ่งราคาผันผวน เช่น ปัจจุบันมีการใช้พลังงานแสงอาทิตย์รวม 220 เมกะวัตต์ และเชื้อเพลิงชีวมวลในโรงงานปูนซีเมนต์ในไทย คิดเป็นสัดส่วนการใช้ร้อยละ 40 พร้อมทั้งเร่งหาแหล่งพลังงานสะอาดอื่นๆ เช่น ปลูกหญ้าเนเปียร์ พืชให้พลังงานสูง 1,000 ไร่ ที่สระบุรีแซนด์บ็อกซ์ เมืองต้นแบบคาร์บอนต่ำแห่งแรกของไทย มุ่งเป้าปลูก 30,000 ไร่ในปี 2571

2. ทบทวนแผนงาน ชะลอโครงการที่ไม่เร่งด่วน เน้นลงทุนธุรกิจเติบโตสูง เช่น ร่วมมือกับ Denka ในอุตสาหกรรมแบตเตอรี่สำหรับยานยนต์ไฟฟ้า และ 3. รุกนวัตกรรมกรีน ที่มีความต้องการสูง ตอบเมกะเทรนด์โลก


PTTGC ลุ้น 1-2 ปีปิโตรเคมีเข้าสู่ภาวะปกติ

ขณะเดียวกัน บริษัทปิโตรเคมีรายใหญ่ของไทยในเครือ ปตท. อย่าง บมจ.พีทีที โกลบอล เคมิคอล (PTTGC) ก็ได้รับผลกระทบรุนแรงวัฏจักรขาลงของปิโตรเคมี ทำให้ผลประกอบการงวดไตรมาส 2/2566 ขาดทุนสุทธิถึง 5,591 ล้านบาทและประกาศงดจ่ายปันผลระหว่างกาลเลยทีเดียว ก่อนที่จะพลิกกลับมามีกำไรสุทธิในไตรมาส 3/2566 อยู่ที่ 1,427 ล้านบาท โดยมีรายได้จากการขายรวม 160,392 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 9 จากไตรมาส 2/2566 แต่ปรับตัวลดลงร้อยละ 12 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน มาจากกลุ่มธุรกิจผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีขั้นต้นโดยเฉพาะโรงกลั่นที่ราคาผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมปรับเพิ่มขึ้นและมีค่าการกลั่นเพิ่มสูงอยู่ที่ 12.6 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล สอดคล้องราคาน้ำมันดิบ และมีปริมาณการขายเพิ่มขึ้นเช่นกัน ส่วนกลุ่มธุรกิจโอเลฟินส์ และกลุ่มพอลิเมอร์ก็มีการใช้กำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้น โดยราคาเม็ดพลาสติกโพลิเอทิลีนเฉลี่ยปรับลดลงจากไตรมาสก่อนหน้าเล็กน้อย จากอุปสงค์ที่ยังคงได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจและอุปทานส่วนเกินในตลาด ส่วนโรงอะโรเมติกส์แห่งที่ 2 มีการหยุดซ่อมบำรุง

นายคงกระพัน อินทรแจ้ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.พีทีที โกลบอล เคมิคอล (PTTGC) กล่าวว่า อุตสาหกรรมปิโตรเคมีได้ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้วเมื่อไตรมาส 2/2566 จากนี้ไปเราจะเห็นการทยอยฟื้นตัวดีขึ้น เนื่องจากอุปสงค์และอุปทานจะเริ่มเข้าสู่ภาวะสมดุล หลังจากมีการชะลอการขยายกำลังการผลิตใหม่เข้าตลาด เชื่อว่าภายใน 1-2 ปีข้างหน้าปิโตรเคมีจะกลับเข้าสู่สภาวะปกติได้ทั้งหมด ซึ่งขณะนี้เริ่มเห็นบางผลิตภัณฑ์ราคาปรับตัวดีขึ้นแล้ว กอปรกับรัฐบาลจีนก็มีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ เป็นปัจจัยบวกกระตุ้นดีมานด์การใช้ปิโตรเคมีเพิ่มขึ้น คาดว่าจะเห็นการนำเข้าปิโตรเคมีจากจีนเพิ่มมากขึ้นในปีหน้า

อย่างไรก็ดี IMF คาดการณ์สถานการณ์เศรษฐกิจโลกในปี 2567 มีแนวโน้มเติบโตร้อยละ 2.5 ลดลงจากปีนี้เล็กน้อย มาจากผลกระทบอัตราดอกเบี้ยที่สูงในรอบกว่าทศวรรษ มีความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ยังคงเป็นปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญ และสงครามที่ยืดเยื้อ แต่คาดว่าสถานการณ์เศรษฐกิจจะเริ่มมีทิศทางที่ดีขึ้นแบบค่อยเป็นค่อยไปในช่วงครึ่งหลังปี 2567 คาดว่าแนวโน้มราคาน้ำมันดิบดูไบในปีหน้าเฉลี่ยอยู่ที่ 75-85 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล จากแรงกดดันเรื่องภาวะเงินเฟ้อ อัตราดอกเบี้ยอยู่ระดับสูงต่อเนื่องมาจากปีนี้ รวมถึงความไม่แน่นอนจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีน ส่งผลต่อความต้องการใช้น้ำมัน ขณะที่อุปทานคาดว่ากลุ่มโอเปกพลัสยังคงควบคุมกำลังการผลิตเพื่อรักษาสมดุลของตลาด

ขณะที่ผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีสายอะโรเมติกส์บริษัทคาดการณ์ว่าส่วนต่างของผลิตภัณฑ์พาราไซลีนกับแนฟทาในปี 2567 จะปรับตัวลดลงอยู่ที่ 370- 390 เหรียญสหรัฐต่อตัน ลดลงจากปี 2566 เนื่องจากสถานการณ์เศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวรวมถึงพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไปส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมสิ่งทอ สำหรับส่วนต่างของราคาเบนซีนและแนฟทาจะอยู่ที่ประมาณ 240- 260 เหรียญสหรัฐต่อตันใกล้เคียงปีนี้ โดยในช่วงครึ่งหลังปี 2567 แนวโน้มเศรษฐกิจโลกมีทิศทางที่ดีขึ้น นับเป็นปัจจัยสนับสนุนให้ภาพรวมตลาดเบนซีนมีแนวโน้มอยู่ในระดับสูง PTTGC คาดว่าจะใช้กำลังการผลิตของโรงงานอะโรเมติกส์ในปี 2567 ที่ระดับร้อยละ 94

ส่วนของปิโตรเคมีสายโอเลฟินส์ บริษัทคาดว่าราคาผลิตภัณฑ์เอทิลีนจะอยู่ที่ 900-950 เหรียญสหรัฐต่อตัน ราคาผลิตภัณฑ์โพรพิลีนจะอยู่ที่ 875 -925 เหรียญสหรัฐต่อตัน ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากปี 2566 และในครึ่งหลังปี 2567 จะได้รับอานิสงส์จากเศรษฐกิจที่ดีขึ้น ทำให้มีอุปสงค์ของตลาดเอทิลีนและโพรพิลีนเติบโตขึ้น ในขณะที่กำลังการผลิตยังคงมีปัจจัยกดดันจากกำลังการผลิตใหม่ที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งบริษัทคาดการณ์อัตราการใช้กำลังการผลิตของโรงโอเลฟินส์ในปี 2567 จะอยู่ที่ร้อยละ 92 ส่วนแนวโน้มพลาสติกโพลีเอทิลีนในปี 2567 บริษัทคาดการณ์ราคาเฉลี่ยเม็ดพลาสติก HDPE อยู่ที่ 1,080-1,130 เหรียญสหรัฐต่อตัน ปรับตัวเพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากปีนี้ มาจากความต้องการใช้เม็ดพลาสติกที่ได้รับปัจจัยสนับสนุนจากมาตรการกระตุ้นและฟื้นฟูเศรษฐกิจของแต่ละประเทศทั่วโลก อย่างไรก็ตาม คงต้องจับตาดูปัจจัยลบจากสภาวะเศรษฐกิจถดถอย ความไม่แน่นอนด้านภูมิรัฐศาสตร์ในภูมิภาคยุโรปและตะวันออกกลาง รวมทั้งมีกำลังการผลิตใหม่จากประเทศจีน อินเดีย และสหรัฐฯ เข้ามาในตลาดรวม ซึ่งบริษัทคาดการณ์อัตราการใช้กำลังการผลิตของโรงโพลีเอทิลีนในปี 2567 อยู่ที่ร้อยละ 104

นอกจากนี้ การชะลอตัวทางเศรษฐกิจยังส่งผลกระทบต่อความต้องการผลิตภัณฑ์กลุ่มสารเคลือบผิวอุตสาหกรรม (Coating Resin) แต่การเติบโตของความต้องการของผลิตภัณฑ์ในกลุ่มนี้จะสูงกว่าการเติบโตทางเศรษฐกิจและการฟื้นตัวของอุตสาหกรรมยานยนต์จะกระตุ้นการใช้ Coating Resin


นายคงกระพันกล่าวถึงผลการดำเนินงานปี 2566 เป็นปีที่ค่อนข้างเหนื่อย ไม่ใช่แค่ PTTGC แต่ทุกบริษัทที่ทำธุรกิจนี้ล้วนได้รับผลกระทบกันถ้วนหน้า ขณะที่ธุรกิจโบโอพลาสติก, ธุรกิจรีไซเคิล, กลุ่มธุรกิจผลิตภัณฑ์ Performance Materials and Chemicals รวมไปถึงธุรกิจโรงกลั่น ยังมีทิศทางที่ดีอยู่ ดังนั้น การบริหารต้นทุนและลดค่าใช้จ่ายยังเป็นสิ่งจำเป็นที่บริษัทคงให้ความสำคัญ ส่วนการขยายธุรกิจจะเน้นธุรกิจใหม่ที่เป็น Low Cabon เช่นเดียวกับการเข้าซื้อ Allnex Holding GmbH (Allnex)

ส่วนความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลกับกลุ่มฮามาส เป็นปัจจัยเสี่ยงที่กดดันทำให้ตลาดเกิดความไม่มั่นใจ ดังนั้นการลงทุนอะไรใหม่จำเป็นต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ ระมัดระวัง ก่อนหน้านี้ PTTGC เคยมีแผนลงทุนโครงการปิโตรเคมีคอมเพล็กซ์ในสหรัฐอเมริกา แต่ต้องชะลอไปแบบไม่มีกำหนดจนกว่าจะหาพันธมิตรร่วมทุนได้ เพื่อลดความเสี่ยงการลงทุน หลังจากก่อนหน้านี้บริษัทเคยจับมือร่วมทุนกับ Daelim Industrial Co., Ltd. (DAELIM) ผู้ประกอบธุรกิจก่อสร้างและผลิตเคมีภัณฑ์ในเกาหลีใต้ แต่สุดท้าย Daelim ได้ถอนการลงทุนไป ทำให้บริษัทไม่สามารถหาพาร์ตเนอร์ใหม่ได้แม้ว่าโครงการนี้มีความได้เปรียบเรื่องวัตถุดิบและตลาดก็ตาม

อย่างไรก็ดี PTTGC ยังมองหาโอกาสการลงทุนในธุรกิจอื่นๆ ที่สหรัฐอเมริกา โดยให้ความสนใจลงทุนโรงงานผลิตพลาสติกรีไซเคิลคุณภาพสูงระดับ Food Grade และธุรกิจท่าเรือขนส่งก๊าซฯ ในสหรัฐอเมริกา ใช้เงินลงทุนไม่มากและเป็นธุรกิจที่ดีสอดรับกระแสลดโลกร้อน ซึ่งสหรัฐฯ มีมาตรการจูงใจด้านภาษีและการอุดหนุนสำหรับโครงการที่จะช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ทำให้ผลตอบแทนการลงทุน (IRR) และมีตลาดขนาดใหญ่รองรับ

ส่วนโครงการท่าเรือขนส่งก๊าซฯ นั้น พบว่าความต้องการใช้ก๊าซฯ ที่เพิ่มสูงขึ้น ขณะที่ราคาก๊าซฯ ในสหรัฐฯ ถูก จึงเป็นโอกาสในการส่งออกก๊าซฯ มาจำหน่ายในประเทศไทย แต่ภาวะเศรษฐกิจที่โลกผันผวน ปิโตรเคมียังเพิ่งพ้นปากหลุม อีกทั้งการลงทุน Allnex มูลค่ากว่า 1.4 แสนล้านบาทก็ยังได้ผลตอบแทนการลงทุนที่ต่ำกว่าคาด

ทำให้บอร์ด PTTGC มองว่ายังไม่ใช่จังหวะที่ดีหากบริษัทจะตัดสินใจลงทุนโครงการใหม่ในช่วงนี้ หนนี้ถ้า PTTGC มองว่าเป็นโครงการที่ดีจริง ก็คงต้องทำการบ้านอย่างหนักเพื่อให้บอร์ดฯ เปลี่ยนความคิดแล้วหันมาสนับสนุนการลงทุน คงต้องรอลุ้นว่าจะได้เห็นการลงทุนใหม่ของ PTTGC เพิ่มเติมหรือไม่


กำลังโหลดความคิดเห็น