UTA-กองทัพเรือย้ำเร่งแผนพัฒนาสนามบินอู่ตะเภา และเมืองการบินตะวันออกภายใน 100 วัน ตามข้อสั่งการนายกฯ เผยปีนี้เริ่มสร้างรันเวย์ที่ 2 และทางขับ วงเงิน 1.64 หมื่นล้านบาท เผยที่ผ่านมาลงทุนไปแล้ว 4 พันล้านบาท จ้างที่ปรึกษาระดับโลกช่วยออกแบบ
เมื่อวันที่ 9 ตุลาคม 2566 พลเรือเอก อะดุง พันธุ์เอี่ยม ผู้บัญชาการทหารเรือ พร้อมด้วยพลเรือเอก จิรพล ว่องวิทย์ ที่ปรึกษาพิเศษกองทัพเรือ, พลเรือโท ธาดาวุธ ทัดพิทักษ์กุล หัวหน้านายทหารฝ่ายเสนาธิการประจำผู้บัญชาการทหารเรือ และพลเรือตรี ถุงเงิน จงรักชอบ เจ้ากรมการเงินทหารเรือ รับมอบเงินร่วมสนับสนุนสวัสดิการภายใน กองทัพเรือ จากบริษัท อู่ตะเภา อินเตอร์เนชั่นแนล เอวิเอชั่น จำกัด (UTA) นำโดย นายคีรี กาญจนพาสน์ ประธานกรรมการบริหาร พร้อมด้วยคณะผู้บริหารจาก UTA ได้แก่ นายพุฒิพงศ์ ปราสาททองโอสถ, นายภาคภูมิ ศรีชำนิ, นายประดิษฐ์ ทีฆกุล, พลเรือเอก นวพล ดำรงพงศ์, นายคง ชิ เคือง และนายวีรวัฒน์ ปัณฑวังกูร ณ ห้องรับรอง กองบัญชาการกองทัพเรือ พระราชวังเดิม
พลเรือเอก อะดุง พันธุ์เอี่ยม ผู้บัญชาการทหารเรือ เปิดเผยว่า ได้เห็นถึงความตั้งใจของทาง UTA ที่ตั้งเป้าขับเคลื่อนโครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภา และเมืองการบินภาคตะวันออก ให้เกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม ทั้งในด้านโครงการ และความรับผิดชอบต่อสังคม ซึ่งตนได้ให้นโยบายแก่กำลังพลในกองทัพ ว่าโครงการนี้เป็นโครงการที่มีความสำคัญอย่างมากต่อประเทศชาติ ต้องดำเนินการให้เกิดขึ้นโดยเร็วที่สุด หากติดขัดในส่วนใดต้องรีบแจ้งทันที เพราะเราเริ่มเห็นความเป็นรูปธรรมของโครงการมาแล้วก่อนหน้านี้ ผ่านพิธีวางศิลาฤกษ์โครงการก่อสร้างอาคารพักอาศัย ระยะที่ 1 ของกองทัพเรือ และการมอบเงินช่วยเหลือกำลังพลกองทัพเรือที่เสียชีวิตจากเหตุการณ์เรือหลวงสุโขทัยอับปาง
โดยคาดว่าในปีนี้จะเริ่มดำเนินการก่อสร้างงานก่อสร้างทางวิ่ง (รันเวย์) เส้นที่ 2 และทางขับ สนามบินนานาชาติอู่ตะเภา กรอบวงเงิน 16,493.76 ล้านบาท และได้ให้ทางกองทัพเรือประสานงานกับทาง UTA ว่าแรงงานประเภทใดที่มีความจำเป็นต่อโครงการ และต้องใช้ทักษะแบบไหนเป็นพิเศษ หากกองทัพเรือสามารถช่วยเหลือได้ ก็ให้ดำเนินการทันที
นายคีรี กาญจนพาสน์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท อู่ตะเภา อินเตอร์เนชั่นแนล เอวิเอชั่น จำกัด กล่าวว่า นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ให้ความสำคัญต่อโครงการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) เป็นอย่างมาก และให้เวลาในการพิจารณาแผนงานเพื่อขับเคลื่อนพื้นที่ EEC ภายใน 100 วัน ดังนั้นความชัดเจนเรื่องสัญญาโครงการ และสิทธิประโยชน์ต่างๆ ของโครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภา และเมืองการบินภาคตะวันออก ต้องมีความคืบหน้าด้วยเช่นกัน ดังนั้นจะเห็นได้ว่ารัฐบาลใหม่มีความมุ่งมั่นกับโครงการนี้เป็นอย่างมาก เพราะสามารถดึงดูดนักลงทุน สร้างงาน และสร้างรายได้ให้ประเทศได้อย่างมหาศาล และในช่วงที่ผ่านมาทาง UTA ได้ใช้งบประมาณ 4,000 ล้านบาท ในการขับเคลื่อนโครงการ โดยเฉพาะการหาบริษัทที่ปรึกษาที่มีความเชี่ยวชาญระดับโลกเข้ามาช่วยดูแล ดังนั้นหากโครงการใดมีการลงนามในสัญญาปีนี้ ทาง UTA ก็พร้อมวางศิลาฤกษ์ในทันที
“ขอขอบคุณทางกองทัพเรือที่ไว้วางใจ และเห็นความตั้งใจจริงของ UTA มาโดยตลอด ยังมีอีกหลายเรื่องที่ต้องอาศัยการทำงานร่วมกัน เพื่อให้สนามบินนานาชาติอู่ตะเภา เป็นสนามบินนานาชาติ แห่งที่ 3 ของประเทศไทย ที่มีความทันสมัย และตอบโจทย์ผู้ใช้บริการได้ทั่วโลก”