ผู้จัดการรายวัน 360 - “คาร์มาร์ท” เปิดเกมบุกธุรกิจเต็มสูบ ปรับกลยุทธ์ช่องทางออนไลน์ เน้นกระจายแบรนด์สร้างร้านของตัวเอง จ่อส่งแบรนด์ใหม่ลงสมรภูมิตลาดเมกอัพ-สกินแคร์ เล็งหาทำเลขยายร้านสาขาใหญ่มากขึ้น เตรียมผุด Flagship Store แบรนด์ “รื่นรมย์” ปั้นคาเฟ่เครื่องหอมเจาะกลุ่มนักท่องเที่ยว แย้มดีลพันธมิตรญี่ปุ่น จับมือพร้อมสยายปีกต่างประเทศ โกยรายได้ทะลุ 4,000 ล้านบาทในอีก 3 ปีข้างหน้า
นายวงศ์วิวัฒน์ ทีฆคีรีกุล กรรมการบริษัท กรรมการบริหารและผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการสายงานพัฒนาธุรกิจ บริษัท คาร์มาร์ท จำกัด (มหาชน) “KARMART” เปิดเผยว่า แนวทางการดำเนินธุรกิจของบริษัทฯ นับจากนี้จะให้ความสำคัญต่อการสร้างความแข็งแกร่งให้กับการขยายธุรกิจทั้งในส่วนของออฟไลน์และออนไลน์เติบโตควบคู่ไปด้วยกัน จะเห็นได้ว่าในช่วงของการแพร่ระบาดโควิด-19 ยอดขายในช่องทางออนไลน์ในแพลตฟอร์มต่างๆ เติบโตดีเป็นอย่างมาก แต่ในขณะเดียวกันหลังจากผู้คนกลับมาใช้ชีวิตปกติ ก็มองหาผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางและสกินแคร์กันมากขึ้น เนื่องจากต้องออกไปเข้าสังคม พบปะผู้คน จึงต้องดูแลตัวเองให้ดูดีเสมอ ทำให้บริษัทฯ ต้องให้ความสำคัญต่อทั้งสองช่องทางควบคู่กัน เพื่อทำให้สร้างรายได้เติบโตอย่างยั่งยืน
สำหรับภาพรวมการดำเนินธุรกิจในไตรมาสแรกของปี 2566 นี้พบว่าเติบโตดีได้ตามเป้าหมายที่คาดการณ์ไว้ โดยบริษัทฯ วางเป้าหมายรายได้ตลอดปีนี้ไว้ที่ประมาณ 2,400 ล้านบาท คิดเป็นอัตราการเติบโตที่ 25% จากปีที่ผ่านมามีรายได้ 1,800 ล้านบาท ซึ่งปัจจัยหลักมาจากการที่เพิ่มแบรนด์สินค้าใหม่เข้ามาอย่างต่อเนื่อง ขณะที่แบรนด์เดิมที่ทำตลาดอยู่นั้นก็เติบโตมากขึ้นทุกแบรนด์ ทุกช่องทาง และทุกกลุ่ม โดยเฉพาะในกลุ่มเมกอัพที่เติบโตได้ดีกว่าปีที่แล้ว
นายวงศ์วิวัฒน์กล่าวว่า บริษัทฯ ได้ทำการปรับกลยุทธ์ช่องทางออนไลน์ตั้งแต่ปลายปี 2565 ที่ผ่านมา ส่งผลในช่วงที่ผ่านมายอดขายช่องทางดังกล่าวเติบโตมากถึง 80% มาจากการที่บริษัทฯ ได้แยกแบรนด์ในเครือมาทำช่องทางออนไลน์ของตัวเองมากขึ้น จากเดิมที่จำหน่ายบนแพลตฟอร์มออนไลน์แต่อยู่ในเฉพาะร้านคาร์มาร์ท ซึ่งการแยกแต่ละแบรนด์ออกมาทำแพลตฟอร์มออนไลน์ของตัวเองทำให้สามารถเข้าถึงลูกค้าได้มากกว่าเดิม โดยขณะนี้เริ่มกระจายแบรนด์ต่างๆ ไปยังแพลตฟอร์มต่างๆ มองว่าจากการปรับกลยุทธ์ดังกล่าวจะทำให้ช่องทางออนไลน์เติบโตเพิ่มขึ้นอีกเท่าตัวในปี 2566 นี้
ทั้งนี้ บริษัทฯ ยังให้ความสำคัญต่อการมองหาพาร์ตเนอร์ที่เป็นกลุ่มบิวตี้ อินฟลูเอนเซอร์ เพื่อพัฒนาแบรนด์ต่างๆ ร่วมกัน อย่างที่ผ่านมามีแบรนด์ บราวอิท, ลิปอิท และ อินทิมี่ เป็นต้น ซึ่งมีผลตอบรับที่ดีเป็นอย่างมาก มองว่าในส่วนของการร่วมมือกับทางบิวตี้ อินฟลูเอนเซอร์ จะยังคงมีอย่างต่อเนื่องแน่นอน เพราะเป็นอีกหนึ่งช่องทางที่สามารถทำให้บริษัทฯ เติบโตได้เป็นอย่างดี
รวมถึงในช่วงปลายเดือนกันยายนนี้จะมีการเปิดตัวแบรนด์ใหม่ ซึ่งเป็นการร่วมมือกับทาง KMGI มิสแกรนด์ อินเตอร์เนชั่นแนล เบื้องต้นจะทำตลาดผ่านสองแบรนด์ใหม่ คือ BEAUTILOX แบรนด์ในกลุ่มสกินแคร์ และ Face it แบรนด์ในกลุ่มเมกอัพ ซึ่งสินค้าต่างๆ ถูกพัฒนาด้วยแนวคิด “ความงามที่เป็นมาตรฐานนางงาม ความสมบูรณ์แบบ ความสวยแบบฉบับนางงาม”
ขณะเดียวกัน บริษัทฯ ยังมองโอกาสของการขยายสาขาในรูปแบบที่ขนาดใหญ่มากขึ้น เนื่องจากในช่วงที่ผ่านมาบริษัทฯ ได้มีการขยายโมเดล Flagship Store แห่งแรกของคาร์มาร์ท ตั้งอยู่ภายในห้างสรรพสินค้าซีคอนบางแค รวมถึงยังได้ปรับภาพลักษณ์ใหม่ในการขยายเข้าสู่ธุรกิจบริการด้านความงาม โดยได้ร่วมกับ อ.หญิง ยุคลฉัตร จันทคร เจ้าของธุรกิจสักคิ้วชื่อดัง The Beauty Arts ผู้นำเทรนด์การสักคิ้วเทคนิคต่างๆ ผ่านการอบรมจากเกาหลี ภายใต้ชื่อร้าน “K-Brow By The Beauty Arts” ซึ่งอยู่ภายในสาขาแห่งนี้ และมีผลตอบรับจากลูกค้าดีเป็นอย่างมาก
“เราเห็นโอกาสของการขยายสาขาที่มีขนาดใหญ่ขึ้น จากเดิมอยู่ที่ 30 ตารางเมตร แต่สำหรับ Flagship Store แห่งนี้มีขนาดพื้นที่ 200 ตารางเมตร ทำให้แต่ละแบรนด์มีพื้นที่ของตัวเอง ขณะเดียวกันแบรนด์พาร์ตเนอร์ก็เข้ามาร่วมในร้านได้ ทำให้ยอดใช้จ่ายต่อบิลเพิ่มสูงขึ้น นับว่าประสบความสำเร็จมาก จึงอยากมองหาทำเลที่เหมาะสมเพื่อนำมาพัฒนาโมเดลในลักษณณะนี้ต่อไปในอนาคต” นายวงศ์วิวัฒน์กล่าว
นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังมองเห็นโอกาสของตลาดเครื่องหอมปรับอากาศ ที่มีอัตราการเติบโตสูงมากนับแต่ช่วงโควิด-19 ที่ผ่านมา เนื่องจากผู้คนต้องทำกิจกรรมอยู่แต่ภายในบ้านของตัวเอง อาจทำให้เกิดความเครียด และต้องการสร้างบรรยากาศภายในบ้าน ทำให้ผลิตภัณฑ์เครื่องหอมเป็นอีกหนึ่งธุรกิจมาแรงช่วงโควิด ทำให้บริษัทฯ จะทำการเปิด Flagship Store แห่งแรกให้กับแบรนด์ “รื่นรมย์” ซึ่งเบื้องต้นน่าจะเป็นทำเลย่านทรงวาด เป็นอาคารพาณิชย์ 2 ชั้น พื้นที่ขนาด 100 ตารางเมตร โดยเมนูต่างๆ จะได้แรงบันดาลใจจากสินค้าแบรนด์รื่นรมย์ มองว่า Flagship Store แห่งนี้จะทำให้แบรนด์ใกล้ชิดกับผู้บริโภคมากขึ้น
นายวงศ์วิวัฒน์ยังกล่าวอีกว่า นอกเหนือจากตลาดในประเทศที่บริษัทฯ เตรียมรุกธุรกิจในทุกรูปแบบแล้ว ในส่วนของต่างประเทศก็โตมากขึ้นเช่นเดียวกัน โดยปัจจุบันมีการส่งออกไปยัง 19 ประเทศ คิดเป็นสัดส่วน 10% ของรายได้ทั้งหมด โดยในปีนี้บริษัทฯ จะมีความเคลื่อนไหวครั้งสำคัญกับการร่วมทุนกับบริษัทญี่ปุ่น บริษัท ที่จะเข้ามาเป็นพาร์ตเนอร์ขยายตลาดต่างประเทศให้แข็งแกร่งและมีประสิทธิภาพมากขึ้น ขณะนี้อยู่ระหว่างการดำเนินการและน่าจะเสร็จสิ้นภายในปีนี้
อย่างไรก็ดี บริษัทฯ มองว่าอุตสาหกรรมความงามจะเติบโตได้อีกมาก คนไทยยังมองหาสินค้าใหม่ๆ ที่ตอบโจทย์ตัวเองอยู่ตลอดเวลา โดยที่ผ่านมาบริษัทฯ ทำตลาดอยู่ในกลุ่มแมส แม้ว่ายังจะขยายตัวได้อยู่ แต่ก็มีแผนจะขยับขึ้นไปสู่ระดับกลุ่มพรีเมียมมากขึ้น เนื่องจากลูกค้าเดิมของบริษัทฯ เมื่อประมาณ 15 ปีที่แล้วเริ่มมีกำลังซื้อมากขึ้น ควบคู่ไปกับการจับกลุ่มคนรุ่นใหม่ และมองหาสินค้าเข้ามาเติมเต็มพอร์ตให้ครอบคลุมในทุกกลุ่ม อาทิ เวชสำอาง และการขยายธุรกิจในลักษณะควบรวมกิจการ ก็จะทำให้ให้บริษัทฯ สามารถเติบโตได้อย่างก้าวกระโดด มองว่าในอีก 3 ปีข้างหน้ารายได้รวมน่าจะไปถึง 4,000 ล้านบาทอีกด้วย