กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ (DITP) แนะผู้ผลิต ผู้ประกอบการบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปและอาหารไทย ใช้โมเดลความสำเร็จของ “รามยอน” เกาหลีใต้หลังใช้ภาพยนตร์ ศิลปิน แนะนำสินค้า เผยล่าสุดร่วมมือ “เจ๊ไฝ” เปิดตัวรามยอนรสต้มยำกุ้งเพื่อทำให้สินค้าเป็นที่รู้จักและกระตุ้นให้เกิดการบริโภคเพิ่มมากขึ้น
นายภูสิต รัตนกุล เสรีเริงฤทธิ์ อธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ (DITP) เปิดเผยว่า กรมฯ ได้มอบนโยบายให้ทูตพาณิชย์ที่ประจำอยู่ในประเทศต่างๆทำการสำรวจลู่ทางและโอกาสการส่งออกสินค้าไทยไปยังประเทศที่ประจำอยู่ และให้รายงานผลเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดได้รับรายงานจากนางสาวชนัญญา พรรณรักษา ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ กรุงโซล ประเทศเกาหลีใต้ ถึงรูปแบบและวิธีการขยายตลาดสินค้า “รามยอน” ของเกาหลีใต้ และโอกาสในการขยายตลาดบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปของไทยในตลาดต่างประเทศ
ทั้งนี้ ทูตพาณิชย์ได้รายงานว่าข้อมูลที่รวบรวมโดย Korea Agro-Fisheries & Food Trade Corporation (aT) และหน่วยงานด้านศุลกากรเกาหลีใต้พบว่า ช่วงเดือนมกราคม-กรกฎาคม 2566 เกาหลีใต้มีมูลค่าการส่งออกรามยอนอยู่ที่ 520.22 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 17.7% โดยการส่งออกรามยอนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2558 ซึ่งในเดือนกรกฎาคมเพียงเดือนเดียวปริมาณการส่งออกเพิ่มขึ้นมากกว่าสี่เท่าจาก 30,305 ตันในปี 2558 เพิ่มขึ้นเป็น 134,791 ตันในปี 2566
สำหรับความสำเร็จในตลาดโลกของสินค้ารามยอนเกาหลีใต้ เป็นผลมาจากความพยายามในการเชื่อมโยงสินค้าเข้ากับวัฒนธรรมเกาหลี ภาพยนตร์ และศิลปินเคป็อป รวมถึงในช่วงที่ผู้คนทั่วโลกได้เผชิญกับการระบาดครั้งใหญ่ของโควิด-19 ความนิยมของสินค้ารามยอน ซึ่งเป็นอาหารทางเลือกที่สะดวกสบายต่อการรับประทาน ก็เป็นอีกปัจจัยสำคัญเช่นเดียวกัน โดยบริษัท Nongshim ซึ่งเป็นผู้ผลิตรามยอนรายใหญ่ที่ได้รับความสนใจจากนานาประเทศจากผลิตภัณฑ์ที่ชื่อว่า Chapaguri ซึ่งเป็นการผสมระหว่างรามยอน Neoguri กับ Chapagetti โดยบริษัทได้เปิดตัวรามยอนดังกล่าวอย่างเป็นทางการ หลังจากเมนู Chapaguri ปรากฏในภาพยนตร์ Parasite ที่ได้คว้ารางวัลออสการ์ในปี 2562
นอกจากนี้ ปัจจุบันการเข้าถึงสินค้ารามยอนเกาหลีจากทั่วโลก ได้ขยายไปสู่ช่องทางโซเชียลมีเดีย เช่น บะหมี่ยี่ห้อ “Buldak” ของบริษัท.Samyang.Foods ได้เป็นที่รู้จักทั่วโลก เนื่องจากมีศิลปินที่มีชื่อเสียงระดับโลกอย่างจีมินวง BTS และโรเซ่ วง Blackpink ให้การสนับสนุนสินค้าดังกล่าว และยังมีกิจกรรมท้ากินบะหมี่เผ็ด “Fire Noodle Challenge” ที่แพร่หลายในโซเชียลมีเดีย ซึ่งช่วยโฆษณาสินค้าของทางบริษัทได้กลายเป็นความท้าทายที่หลายๆ คนอยากจะลองกันสักครั้งหนึ่ง โดยโฆษกของบริษัท Samyang Foods กล่าวว่า กระแสดังกล่าวได้เปลี่ยนสินค้ารามยอนให้กลายเป็นเหมือนสัญลักษณ์ของ K-Food
ขณะเดียวกัน บริษัทรามยอนชั้นนำในเกาหลีกำลังขยายโรงงานผลิตเพื่อตอบสนองความต้องการที่เพิ่มมากขึ้น เมื่อไม่นานมานี้ บริษัท Nongshim ได้เปิดโรงงานแห่งที่สองในสหรัฐอเมริกา เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคในต่างประเทศ และวางแผนที่จะเริ่มก่อสร้างโรงงานแห่งที่สามภายในปี 2568 ซึ่งนายชิน ดงวอน ประธานบริษัท Nongshim ได้ตั้งเป้าหมายที่จะเพิ่มรายได้ต่อปีของบริษัทในตลาดสหรัฐอเมริกาเป็นสามเท่า หรือ 1.5 พันเหรียญสหรัฐ ภายในปี 2568 และตั้งเป้าหมายที่จะเป็นที่หนึ่งของสินค้ารามยอนในตลาดท้องถิ่น
นอกจากนี้ บริษัท Samyang Foods ก็ได้เปิดโรงงานในเมืองมิลยาง จังหวัดคย็องซังใต้ เกาหลีใต้ ในเดือนพฤษภาคม เพื่อรองรับการส่งออกสินค้าพร้อมทั้งตัดสินใจจะสร้างโรงงานแห่งที่สองบนบนพื้นที่เดียวกันอีกด้วย
นายภูสิตกล่าวว่า ความนิยมของรามยอนเกาหลีที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เป็นผลมาจากการนำสินค้ามาเชื่อมโยงกับวัฒนธรรม ภาพยนตร์ และผ่านบุคคลที่มีชื่อเสียงหรือมีอิทธิพลทางความคิด (อินฟลูเอนเซอร์) ซึ่งเหมาะกับไลฟ์สไตล์ในยุคปัจจุบันที่บุคคลมักจะรับฟังความเห็นของอินฟลูเอนเซอร์หรือผู้มีชื่อเสียงต่างๆ และมีการบริโภคตามผู้มีชื่อเสียงเหล่านั้น และล่าสุดยังพบว่าบริษัท Nongshim ได้มีการร่วมมือกับเจ๊ไฝ เจ้าของร้านอาหารไทยที่ได้รับรางวัลมิชลินสตาร์ 1 ดาว เปิดตัวรามยอนรสใหม่รสต้มยำกุ้ง ซึ่งเป็น Soft Power ด้านอาหารของไทย นับเป็นการร่วมมือครั้งแรกระหว่างรามยอนเกาหลีกับอินฟลูเอนเซอร์ไทย ทั้งนี้ คาดว่าจากความร่วมมือดังกล่าวจะช่วยเพิ่มยอดขายให้กับบริษัทมากยิ่งขึ้น และเป็นการขยายความนิยมของเมนูอาหารต้มยำกุ้งของไทยไปสู่ทั่วโลกให้เพิ่มมากขึ้น
ทั้งนี้ ในส่วนของผู้ผลิตสินค้าบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป หรือผู้ผลิตสินค้าอาหารของไทยอาจนำแนวทางดังกล่าวมาปรับใช้ เพื่อส่งเสริมการตลาดโดยการเชื่อมโยงกับ Soft Power ของไทยที่น่าสนใจในปัจจุบัน เช่น ศิลปินคนดังของไทยที่มีชื่อเสียงในต่างประเทศ หรือเปิดตัวสินค้าใหม่ๆ ที่ร่วมมือกับเชฟร้านอาหารดังซึ่งจะช่วยดึงดูดความสนใจของผู้บริโภคทั้งในประเทศ และต่างประเทศได้เพิ่มมากขึ้น