บ้านปูเดินหน้านำ BKV เข้าตลาดหุ้นสหรัฐฯ เร็วสุดในไตรมาส 4 ปีนี้ ชี้หากสภาวะตลาดไม่เอื้ออำนวยจะเลื่อนไปเป็นไตรมาส 1/67 ลุ้นไตรมาส 3/66 ราคาก๊าซฯ ปรับตัวดีขึ้น เล็งขยายการลงทุนโครงการ CCUS ในสหรัฐฯ เพิ่ม “บ้านปู เพาเวอร์” สยายปีกลงทุนโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน และแบตเตอรี่
นางสมฤดี ชัยมงคล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) หรือ BANPU เปิดเผยความคืบหน้าการนำบริษัท BKV Corporation (BKV) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยที่บ้านปูถือหุ้นในสัดส่วน 96.12% เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์ก (New York Stock Exchange : NYSE) ว่า ขณะนี้บริษัทมีความพร้อมในการนำ BKV เข้าระดมทุนในตลาดหุ้นสหรัฐฯ ได้เร็วสุดในช่วงไตรมาส 4 ปีนี้ ขึ้นอยู่กับสภาวะตลาด แต่หากไม่ทันก็เลื่อนไปเป็นต้นไตรมาส 1/2567 โดยไม่กระทบต่อผลการดำเนินงานของกลุ่มบ้านปูแต่อย่างใด
การนำ BKV เข้าตลาดหุ้น NYSE เป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์ของบริษัทในการขยายธุรกิจและสร้างการเติบโตให้แก่ธุรกิจของ BKV และขับเคลื่อนสู่เป้าหมายในการเป็นผู้ดําเนินธุรกิจผลิตก๊าซธรรมชาติซึ่งปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero)
ขณะนี้โครงการดักจับและกักเก็บก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (Carbon Capture, Utilization and Storage : CCUS) ในสหรัฐอเมริกา ปัจจุบันเข้าไปลงทุนแล้ว 2 โครงการ งบลงทุนราว 30 ล้านเหรียญสหรัฐ คาดว่าจะสามารถกักเก็บคาร์บอนฯได้ 2.1 แสนตันต่อปี และปลายปีนี้การลงทุนในเฟสแรกจะเริ่มกักเก็บคาร์บอนฯได้ อย่างไรก็ตาม ในอนาคตบริษัทมีแผนจะขยายการลงทุน CCUS เพิ่มเติมอีกหลายโครงการ
นางสมฤดีกล่าวว่า แนวโน้มการดำเนินงานในช่วงครึ่งหลังปี 2566 ทิศทางราคาก๊าซธรรมชาติและถ่านหินคาดว่าปรับตัวดีขึ้น เมื่อเทียบกับครึ่งปีแรก ซึ่งปัจจุบันราคาก๊าซฯ เฉลี่ยอยู่ที่ 2.5-2.6 เหรียญสหรัฐต่อล้านลูกบาศก์ฟุต คาดไตรมาส 3/2566 ราคาจะปรับสูงขึ้นอีก ขณะที่ราคาถ่านหินปัจจุบันอยู่ที่ 150-160 เหรียญสหรัฐต่อตัน ถือว่าเป็นราคาที่ดีอยู่ โดยประเมินว่าราคาถ่านหินจะทรงตัวระดับร้อยกว่าเหรียญสหรัฐต่อตันในช่วง 1-2 ปีนี้ ส่วนกำไรในปีนี้จะขึ้นอยู่กับทิศทางราคาก๊าซฯ และถ่านหินเป็นหลัก
“กลยุทธ์การลงทุนของบริษัทในช่วงที่เหลือของปีนี้จะมุ่นเน้นการลดต้นทุน และลดค่าใช้จ่าย เพื่อรับมือกับราคาขายถ่านหินที่อ่อนตัวลงเมื่อเทียบกับปีก่อน”
นายกิรณ ลิมปพยอม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บ้านปู เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BPP กล่าวว่า แนวโน้มผลประกอบการในปีนี้จะนิวไฮหรือไม่นั้นไม่สามารถตอบได้ แต่จะเห็นได้จากโรงไฟฟ้าพลังงานก๊าซธรรมชาติ Temple I ในสหรัฐฯ กลับมาเดินเครื่องการผลิตไฟฟ้าเต็มที่หลังจากหยุดซ่อมบำรุงในช่วงไตรมาส 2 ที่ผ่านมา รวมทั้งรับรู้รายได้จากการเข้าลงทุนในโรงไฟฟ้า Temple Il เข้ามาเพิ่ม ซึ่งในครึ่งปีหลังเป็นช่วงที่รัฐเท็กซัสกำลังเข้าสู่ช่วงฤดูร้อน จึงทำให้มีความต้องการใช้ไฟฟ้าเพิ่มขึ้นสูง หนุนรายได้และกำไรเข้ามาเพิ่มขึ้น
นอกจากนี้ บริษัทยังมีแผนที่จะควบรวมหรือเข้าซื้อกิจการ (M&A) โรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน และระบบกักเก็บพลังงาน (ESS) ในพื้นที่ที่มีการลงทุนอยู่แล้ว โดยเฉพาะในสหรัฐฯ โดยหลังจบไตรมาส 3/2566 บริษัทจะเดินหน้าการลงทุนในธุรกิจดังกล่าวแบบจริงจังมากขึ้น ล่าสุดได้ลงทุนโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ Sunshine ขนาด 3-5 เมกะวัตต์ ในสหรัฐฯ ทั้งนี้ บริษัทยังคงวางเป้าหมายขยายกำลังผลิตไฟฟ้ารวมให้ได้มากกว่า 5,300 เมกะวัตต์ภายในปี 2568
ปัจจุบันกลุ่มบ้านปูมีกำลังการผลิตไฟฟ้าในมือรวม 5,000 เมกะวัตต์ แบ่งเป็นโรงไฟฟ้าเชื้อเพลิงฟอสซิล 4,008 เมกะวัตต์ และโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนอยู่ที่ 966 เมกะวัตต์