“ผลิตไฟฟ้า” มั่นใจปีนี้มีกำลังผลิตไฟฟ้าเพิ่มได้ตามเป้าหมาย 1,000 เมกะวัตต์ เงินลงทุนรวม 3 หมื่นล้านบาท แย้มเร่งปิดดีล M&A โรงไฟฟ้าทั้งในสหรัฐฯ และอาเซียน มั่นใจผลดำเนินงานครึ่งปีหลังดีจากการรับรู้รายได้จากโรงไฟฟ้าน้ำเทิน 1 และโครงการโรงไฟฟ้าหยุนหลิน ในไต้หวัน พร้อมวางรากฐานในธุรกิจซัปพลายเชนไฮโดรเจน เพื่อสร้างการเติบโตในระยะกลางถึงระยะยาว และปรับเป้าหมายใหม่ Net Zero ปี 2050
นายเทพรัตน์ เทพพิทักษ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ผลิตไฟฟ้า จำกัด (มหาชน) (EGCO) หรือเอ็กโก กรุ๊ป เปิดเผยว่า ในปี 2566 บริษัทมั่นใจมีกำลังการผลิตไฟฟ้าใหม่เพิ่มตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ปีละ 1,000 เมกะวัตต์ (MW) จากปัจจุบันบริษัทมีกำลังผลิตตามสัดส่วนการถือหุ้นอยู่ที่ 6,317 เมกะวัตต์ คาดใช้เงินลงทุนราว 3 หมื่นล้านบาท
ขณะนี้บริษัทอยู่ระหว่างการเจรจาควบรวมหรือซื้อกิจการ (M&A) โรงไฟฟ้าขนาดใหญ่ในสหรัฐฯ 1-2 โครงการ คิดเป็นกำลังผลิตรวมกว่า 1,000 เมกะวัตต์ และอาเซียนอีก 1-2 โครงการ ซึ่งเป็นโรงไฟฟ้าใช้ก๊าซฯ เป็นเชื้อเพลิงและโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน โดยในช่วงครึ่งแรกปีนี้ เอ็กโก กรุ๊ปมีกำลังผลิตไฟฟ้าใหม่เข้ามาในพอร์ตเพียง 101 เมกะวัตต์
นายเทพรัตน์กล่าวต่อไปว่า ภาพรวมการดำเนินงานในช่วงครึ่งปีหลังนี้ บริษัทคาดว่าจะได้รับปัจจัยบวกจากการรับรู้รายได้แบบเต็มปีของโรงไฟฟ้าน้ำเทิน 1 ใน สปป.ลาว รวมถึงการรับรู้รายได้แบบเต็มปีจากโรงไฟฟ้าไรเซ็ก ในสหรัฐฯ และโครงการโรงไฟฟ้าหยุนหลิน ในไต้หวัน ที่สามารถทยอยจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบเมื่อติดตั้งเครื่องผลิตไฟฟ้าจากใบพัดกังหันแล้วเสร็จ โดยปัจจุบันสามารถติดตั้งเสากังหัน (Monopiles) แล้วเสร็จจำนวน 39 ต้น และติดตั้งเครื่องผลิตไฟฟ้าจากใบพัดกังหัน (Wind Turbine Generators) ที่สามารถจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบแล้ว จำนวน 22 ต้น และรับรู้รายได้จากโครงการขยายระบบขนส่งน้ำมันทางท่อไปยังภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (TPN) ที่จะเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ได้ภายในไตรมาสที่ 3/2566
สำหรับแผนการลงทุนระยะกลางถึงระยะยาว บริษัทได้วางแผนการลงทุนในธุรกิจพลังงานแห่งอนาคตอย่างซัปพลายเชนไฮโดรเจน ที่มีศักยภาพรองรับการเปลี่ยนผ่านจากพลังงานฟอสซิลไปสู่พลังงานสีเขียว โดยบริษัทได้ร่วมมือกับพันธมิตรหลายแห่งเพื่อศึกษาเทคโนโลยีใหม่ๆ และความเป็นไปได้ในการลงทุน เช่น การพัฒนาและใช้ประโยชน์จากก๊าซไฮโดรเจนสำหรับการผลิตไฟฟ้าที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและลดการปล่อยคาร์บอน การพัฒนาธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับซัปพลายเชนไฮโดรเจน ตลอดจนการผลิตกรีนไฮโดรเจนจากโรงไฟฟ้าโบโค ร็อค วินด์ฟาร์ม ของเอ็กโก กรุ๊ป ในรัฐนิวเซาท์เวลส์ ออสเตรเลีย ซึ่งเป็นประเทศที่มีศักยภาพสูงในการพัฒนาอุตสาหกรรมกรีนไฮโดรเจน เป็นต้น
ด้านการขับเคลื่อนสู่สังคมคาร์บอนต่ำ เนื่องจากผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่ทวีความรุนแรงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ บริษัทได้ปรับเป้าหมายใหม่ที่ท้าทายและสอดคล้องกับทิศทางเดียวกับบริษัทชั้นนำของโลก โดยขยับเป้าหมายการบรรลุความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutral) ให้เร็วขึ้นกว่าเดิม 10 ปี เป็นปี 2040 และเพิ่มเป้าหมายใหม่ คือ การบรรลุการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ภายในปี 2050 โดยวางเป้าหมายมีสัดส่วนพลังงานหมุนเวียนราว 30% ในปี 2030 จากปัจจุบันอยู่ที่ 22%
การลงทุนสำคัญที่ช่วยส่งเสริมให้เอ็กโก กรุ๊ป มุ่งสู่การบรรลุ Net Zero 2050 ได้ตามแผน คือ การลงทุนในเอเพ็กซ์ ซึ่งเป็นผู้พัฒนาโครงการพลังงานหมุนเวียนขนาดใหญ่ในสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นการลงทุนที่มีศักยภาพและช่วยเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้เอ็กโก กรุ๊ป ในระยะยาว เนื่องจากเอเพ็กซ์ช่วยเพิ่มกำลังผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน และสร้างโอกาสทางธุรกิจด้วยโมเดลการดำเนินงานในรูปแบบไฮบริด คือ การพัฒนาโครงการเพื่อเดินเครื่องเชิงพาณิชย์เอง และจำหน่ายโครงการออกไป โดยในปีนี้เอเพ็กซ์มีโครงการที่เดินเครื่องเชิงพาณิชย์แล้ว 2 โครงการ กำลังผลิตรวม 294 เมกะวัตต์ และโครงการที่อยู่ระหว่างการก่อสร้าง 5 โครงการ กำลังผลิตรวม 657 เมกะวัตต์ ซึ่งจะทยอยแล้วเสร็จระหว่างปี 2566-68 แบ่งเป็น โครงการพลังงานแสงอาทิตย์ 2 โครงการ ในรัฐเท็กซัส โครงการพลังงานลม 1 โครงการ ในรัฐเมน และโครงการระบบกักเก็บพลังงานด้วยแบตเตอรี่ 2 โครงการ ในรัฐเท็กซัส ในขณะเดียวกัน ยังมีโครงการที่อยู่ระหว่างการพัฒนาอีกจำนวนมากถึง 242 โครงการ กำลังผลิตรวม 53,767 เมกะวัตต์