xs
xsm
sm
md
lg

ธุรกิจการบินชง 3 ข้อเสนอ เร่งรัฐบาลใหม่ช่วยแก้ปัญหา

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ผู้จัดการรายวัน 360 – วงการการบินเชื่อมั่น รัฐบาลใหม่จะวางนโยบายผลักดันธุุรกิจการบินและท่องเที่ยวได้อย่างเหมาะสม ชี้ปัญหาหลักตอนนี้คือ เรื่องอัตราการจัดเก็บภาษีสรรพสามิตน้ำมัน พร้อมเสนอโมเดลให้ พร้อมชง 3 ข้อเสนอรัฐบาล

นายสันติสุข คล่องใช้ยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายการบินไทยแอร์เอเชีย กล่าวว่า ภายหลังจากที่มีรัฐบาลชุุดใหม่ชัดเจนแล้วที่เข้ามาบริหารประเทศภายใต้การนำของนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี เชื่อมั่นว่าหากมีการวางนโยบายที่ถูกต้อง คาดว่าจะช่วยผลักดันให้อุตสาหกรรมการท่องเที่ยว ซึ่งถือเป็นอุตสาหกรรมที่สร้างรายได้หลักสำคัญให้กับประเทศไทย ภาพรวมเศรษฐกิจก็จะขับเคลื่อนไปต่อได้

เนื่องจากขณะนี้ธุรกิจการบินยังคงเผชิญปัญหาที่หลากหลายอยู่ โดยเฉพาะปัญหาเรื่องราคาค่าโดยสาร แนวโน้มอัตราค่าบัตรโดยสารเครื่องบินขณะที่ราคาบัตรโดยสารเที่ยวบินต่างประเทศและในประเทศก็ล้วนขึ้นอยู่กับดีมานด์ในตลาดซึ่งขณะนี้ราคาจะสูงกว่าช่วงโควิดประมาณ 10-20% ซึ่งหากจะมีการจัดโปรโมชั่นราคามากก็จะไม่ส่งผลดีแต่อย่างใด

อีกทั้งเรื่องการจัดเก็บอัตราภาษีสรรพสามิตน้ำมันก็เกี่ยวข้องด้วยเพราะจะส่งผลต่อราคาค่าโดยสาร โดยทางสมาคมธุรกิจสายการบิน ได้มีการหารือกันในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา มีความเห็นว่า จะนำเสนอโมเดลการเรียกเก็บอัตราภาษีสรรพสามิตน้ำมัน ที่พบกันครึ่งทางหรือหาจุดตรงกลางร่วมกัน ในอัตราเฉลี่ยประมาณ 2 บาทกว่า ซึ่งจะส่งผลดีต่อการกำหนดราคาค่าโดยสารที่จะทำให้ค่าเซอร์พาสลดลงได้ถึงครึ่งหนึ่ง

“เนื่องจากปัจจุบันได้กลับมาใช้ในอัตรา 4.726 บาทต่อลิตร ตั้งแต่วันที่ 1 ก.ค.2566 เป็นต้นมา หลังจากที่กระทรวงการคลัง ได้ออกมาตรการมาช่วยเหลือธุรกิจสายการบินก่อนหน้านี้ ด้วยการเรียกเก็บในอัตรา 0.20 บาทต่อลิตร เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนและช่วยลดและลดภาระผู้ประกอบการจากต้นทุนการดำเนินการของสายการบินที่สูงขึ้นและส่งผลกระทบโดยตรงต่อราคาค่าโดยสารนั่นเอง”

ทั้งนี้สายการบินมีข้อเสนอเเนะถึงรัฐบาลใหม่ ในการผลักดันนโยบาย เพื่อฟื้นธุรกิจการท่องเที่ยวเเละการบินได้อย่างต่อเนื่อง เพื่อเศรษฐกิจในภาพรวม คือ

1. การสนับสนุนนโยบายและเเคมเปญกระตุ้นการท่องเที่ยวไทยต่อเนื่อง เช่น การออกเแคมเปญส่งเสริมการท่องเที่ยวภายในประเทศ ลดต้นทุนการท่องเที่ยวให้กับนักท่องเที่ยวภายในประเทศ หรือโครงการส่งเสริมการท่องเที่ยวเมืองรอง เพื่อกระจายเศรษฐกิจให้เติบโตทั่วภูมิภาค

2. การพิจารณายกเว้นการเก็บค่าธรรมเนียมวีซ่า ณ ด่านตรวจคนเข้าเมือง (Visa on Arrival) เป็นการชั่วคราว (ระยะเวลา 6 เดือน) ให้กับนักท่องเที่ยวชาวจีน เพื่อกระตุ้นให้มีการเดินทางมายังประเทศไทยเพิ่มมากขึ้น โดยปัจจุบันมีค่าธรรมเนียม 2,000 บาทต่อคน

3. การขยายสิทธิการบิน การขนส่งอากาศไทย – อินเดีย ให้สามารถเพิ่มความถี่ในการขนส่งทางอากาศในตลาดเอเชียใต้ และ 6 เมืองหลักของอินเดีย ประกอบด้วย นิวเดลี มุมไบ บังกาลอร์ โกลกาตา เชนไน ไฮเดอราบาด ซึ่งนักท่องเที่ยวชาวอินเดียเป็นหนึ่งในตลาดสำคัญของการท่องเที่ยวไทย

นายสันติสุข กล่าวว่า สำหรับประเด็นของตลาดนักท่องเที่ยวจีนนั้น แม้ว่าขณะนีจะยังเข้ามาในประเทศไทยไม่มากเหมือนในอดีตโดยล่าสุดช่วงครึ่งปีแรกมีประมาณเกือบ 2 ล้านคนแล้วก็ตาม จากเป้าหมายที่ภาครัฐประมาณว่าจะมีนักท่องเที่ยวจีนปีนี้ที่ 4-5 ล้านคน จากเป้าหมายนักท่องเที่ยวรวมทั้งหมดปีนี้อยู่ที่ 25-30 ล้านคน

“ปัญหาคือ ตอนนี้เศรษฐกิจภายในประเทศของจีนไม่ค่อยดีนัก ล่าสุดก็มีธุรกิจเอกชนยักษ์ใหญ่ด้านอสังหาริมทรัพย์รายหนึ่งก็ต้องเข้าสู่กระบวนการแผนฟื้นฟู เพราะความใหญ่จึงกระทบภาพรวมเศรษฐกิจของจีน ส่งผลกระทบต่อกำลังซื้อชะลอตัว อีกทั้งทางการจีนก็รณรงค์ให้คนจีนเองหันมาท่องเที่ยวในประเทศ จึงทำให้มีนักท่องเที่ยวออกนอกจีนน้อยลง แต่ถ้าหากว่าเรามีการผ่อนปรนมาตรการ VOA ในรูปแบบต่างๆที่เป็นไปได้ เช่น ลดอัตราค่าธรรมเนียมลงบ้าง หรือจะยกเว้นในช่วงระยะเวลาหนึ่ง หรือให้สิทธิพำนักได้นานขึ้น เป็นต้น ก็น่าจะเป็นหนทางหนึ่งในการช่วยกระตุ้นตลาดจีนได้เช่นกัน” นายสันติสุข กล่าว

ส่วนประเด็นตลาดอินเดียนั้น ยังติดปัญหาในเรื่องการติดเงื่อนไขข้อตกลงกันทั้งในเรื่องของจำนวนสัดส่วนผู้โดยสารที่คนอินเดียจะเดินทางมาไทยและคนไทยที่จะเดินทางไปอินเดีย จำนวนของเที่ยวบิน ที่มีการตกลงกันไปก่อนหน้านั้น หากต้องการจะขยายตลาดอินเดียซึ่งถือเป็นตลาดที่สำคัญอีกตลาดหนึ่งก็ควรจะมีการแก้ไขเรื่องข้อจำกัดเหล่านั้น


กำลังโหลดความคิดเห็น