BCPเคาะราคาซื้อหุ้น ESSO ในราคาหุ้นละ 9.8986 บาท สัดส่วน 65.99% เป็นวงเงิน 2.26 หมื่นล้านบาท กำหนดจ่ายใน 31 ส.ค.นี้ หลังจากนั้นจะทำเทนเดอร์ฯ ลุยซื้อหุ้นจากรายย่อยสัดส่วนหุ้นที่เหลือ 34.01%ในราคาเดียวกัน
นายชัยวัฒน์ โควาวิสารัช ประธานเจ้าที่บริหารกลุ่มบริษัทบางจาก และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ BCP เปิดเผยว่า สืบเนื่องจากการที่ บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ BCP ได้เข้าทำสัญญาซื้อขายหุ้นสามัญของ บริษัท เอสโซ่ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ ESSO ในวันที่ 11 มกราคม 2566 จำนวน 2,283,750,000 หุ้น หรือคิดเป็นร้อยละ 65.99 ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและจำหน่ายแล้วทั้งหมดของเอสโซ่จาก ExxonMobil Asia Holdings Pte. Ltd. (“ผู้ขาย”) และดำเนินการตามเงื่อนไขบังคับก่อนการเข้าซื้อหุ้นสามัญของเอสโซได้สำเร็จเสร็จสิ้นแล้ว
สำหรับเงื่อนไขบังคับก่อนการเข้าซื้อหุ้นสามัญของเอสโซ่ได้สำเร็จเสร็จสิ้นแล้วทั้งหมด โดยมีรายละเอียดดังนี้
1. เอสโซ่ได้รับความเห็นชอบ และ/หรือการผ่อนผันหน้าที่ตามข้อกำหนดหรือข้อจำกัดที่ ระบุไว้โดยเฉพาะในสัญญาขยายและประกอบกิจการโรงกลั่นปิโตรเลียม ฉบับลงวันที่ 27 ธันวาคม 2534 (รวมที่ได้แก้ไขเพิ่มเติม) จากกระทรวงพลังงาน หรือหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้องเพื่อให้ผู้ขายสามารถขายหุ้นที่ซื้อขายให้แก่บริษัท ในกรณีที่จำเป็นต้องได้รับการอนุมัติหรือการผ่อนผันก่อนการขายหุ้นที่ซื้อขาย โดยในกรณีนี้เอสโซ่ไม่จำต้องได้รับการอนุมัติหรือการผ่อนผันใด ๆ จึงถือว่าเงื่อนไขบังคับก่อนข้อนี้ได้สำเร็จเสร็จสิ้นแล้ว ,
2. บริษัทได้รับความเห็นชอบจากที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นของบริษัทให้เข้าซื้อหุ้นสามัญของเอสโซ่ในวันที่ 11 เมษายน 2566
3. บริษัทได้รับความเห็นชอบต่างๆ ตามหลักเกณฑ์เกี่ยวกับกฎหมายการแข่งขันทางการค้าแบบมีเงื่อนไข ในวันที่ 18 กรกฎาคม 2566
4. คู่สัญญาตกลงกันเกี่ยวกับราคาซื้อขายสุดท้าย ได้ตามสัญญาซื้อขายหุ้นได้สำเร็จลงในวันที่25 สิงหาคม 2566 โดยบริษัทคาดว่าจะดำเนินการซื้อหุ้นสามัญของเอสโซ่ จำนวน 2,283,750,000 หุ้น หรือคิดเป็นร้อยละ 65.99 ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและจำหน่ายแล้วทั้งหมดของเอสโซ่ จากผู้ขายในมูลค่า 22,605,926,000 บาท หรือคิดเป็นราคา 9.8986 บาทต่อหุ้น (โดยการปัดเศษทศนิยม 4 ตำแหน่ง )และชำระราคาค่าหุ้นสามัญให้กับผู้ขาย ในวันที่ 31 สิงหาคม 2566
ดังนั้น จากเงื่อนไขบังคับก่อนดังกล่าวได้สำเร็จเสร็จสิ้นแล้ว จึงเป็นผลให้บริษัทมีหน้าที่ต้องทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์ที่เหลือทั้งหมดของเอสโซ่ (Mandatory Tender Offer) จากผู้ถือหุ้นของเอสโซ่ทุกรายเพื่อให้เป็นไปตามประกาศคณะกรรมการกำกับตลาดทุนที่ ทจ.12/2554 เรื่อง หลักเกณฑ์ เงื่อนไข และวิธีการในการเข้าถือหลักทรัพย์เพื่อครอบงำกิจการ โดยบริษัทจะดำเนินการเข้าทำคำเสนอซื้อหุ้นที่เหลือทั้งหมดของเอสโซ่ จำนวนทั้งสิ้น 1,177,108,000 หุ้น(คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 34.01ของหุ้นสามัญที่ออกและจำหน่ายแล้วทั้งหมดของเอสโซ่) และจะมีหน้าที่ในการยื่นแบบประกาศเจตนาในการเข้าถือหลักทรัพย์เพื่อครอบงำกิจการ (แบบ 247-3) และคำเสนอซื้อหลักทรัพย์ (แบบ 247-4) ของเอสโซ่ ต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และเอสโซ่ต่อไป