xs
xsm
sm
md
lg

“ไมเนอร์” โชว์เหนือ เปิดเกม “โรงแรม-อาหาร” กวาดลูกค้ากำไรพุ่ง

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



การตลาด – “ไมเนอร์ กรุ๊ป” โชว์เหนือ ธุรกิจโรงแรม อาหาร เติบโตดีต่อเนื่อง เผยไตรมาสสองปีนี้ มีกำไรเพิ่มถึง 2 เท่า ทะลุ 3 พันล้านบาท เดินหน้าแผนงานต่อเนื่อง คาดครึ่งหลังปียังไปได้ดี

เมื่อการเปิดประเทศเป็นไปอย่างสมบูรณ์แบบเต็มตัว สถานการณ์โควิด -19 อยู่ในขั้นที่เรียกว่าเบาบางลง ย่อมส่งผลดีต่อการท่องเที่ ยว กับธุรกิจต่างๆทั้งทางตรงและทางอ้อมไม่ว่าจะเป็น โรงแรมที่พัก ร้านอาหาร บริการท่องเที่ยวต่างๆ
เครือไมเนอร์ ก็เป็นหนึ่งในหลายผู้ประกอบการที่ได้รับอานิสงส์โดยตรง เพราะมีทั้งธุรกิจโรงแรมที่พัก และร้านอหาร รวมถึงสนค้าไลฟ์สไตล์เพื่อการช้อปผ้งอีกด้วย


นายดิลลิป ราชากาเรีย ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มของ MINT กล่าวถึงผลการดำเนินงานของบริษัทในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2566 และปี 2567 ว่า ผลประกอบการในไตรมาส 2 ปี 2566 เป็นผลลัพธ์ของความทุ่มเทและความพยายามของทีม การคว้าโอกาสทางการตลาดในขณะที่ความต้องการของผู้บริโภคยังคงฟื้นตัวยังแข็งแกร่ง ส่งผลให้กำไรเพิ่มขึ้นสูงเป็นประวัติการณ์
แนวโน้มการดำเนินธุรกิจที่ยังคงแข็งแกร่ง บ่งบอกว่าผลการดำเนินงานของ MINT ในครึ่งปีหลังของปี 2566 รวมถึงปี 2567 ยังคงดีต่อเนื่อง จำนวนเที่ยวบินที่เพิ่มขึ้นเป็นผลให้การเดินทางไปยังจุดหมายต่างๆ ในยุโรปเพิ่มมขึ้นสูงกว่าจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางมาทวีปยุโรปช่วงก่อนการระบาดของโรค COVID-19

โดย ไมเนอร์ โฮเทลส์ ในยุโรปจะได้รับอานิสงส์จากการเดินทางดังกล่าว กลยุทธ์ในการเลือกทำเลของโรงแรมและโปรแกรมความภัคดีที่มอบสิทธิพิเศษให้กับสมาชิกยังสนับสนุนการเติบโตของการเดินทางเพื่อธุรกิจและท่องเที่ยวสำหรับปลายฤดูร้อนและต้นฤดูใบไม้ผลิของทวีปยุโรปอีกด้วย

นอกจากนี้ไตรมาส 4 ยังเป็นช่วงฤดูการที่ดีของธุรกิจโรงแรมในทวีปเอเชีย ส่งผลให้มีความต้องการการเดินทางของกลุ่มนักท่องเที่ยวโดยเฉพาะจาก สหรัฐอเมริกา ยุโรป และกลุ่มลูกค้าตลาดบนจากตะวันออกกลางอีกด้วย


ทั้งนี้ บริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) (“MINT”) รายงานผลการดำเนินงานประจำไตรมาส 2 ปี 2566 ระบุว่า โดยบริษัทฯมีกำไรสุทธิจากการดำเนินงานจำนวน 3.0 พันล้านบาท ฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่งจากทั้งช่วงเดียวกันของปีก่อนและช่วงเดียวกันของปีการระบาดของโรค COVID-19 ที่อัตรา 148% และ 52% ตามลำดับ สะท้อนถึงการฟื้นตัวของกลุ่มธุรกิจโรงแรมและร้านอาหารทั่วโลกอย่างต่อเนื่องเนื่องหลังผ่านการระบาดของโรค COVID-19

ขณะที่ไตรมาสแรกปีที่แล้ว มีกำไรประมาณ 1.5 พันล้านบาท เท่ากับว่าเพิ่มขึ้นถึง 108%
เท่ากับว่า ไมเนอร์ โฮเทลส์ มีกำไรสุทธิจากการดำเนินงานเติบโตมากกว่า 2 เท่า จากการฟื้นตัวของความต้องการในการเดินทางในทุกภูมิภาค

การเติบโตอย่างแข็งแกร่งของกิจกรรมการเดินทางในทุกภูมิภาคหลักของบริษัทส่งผลให้กำไรสุทธิจากการดำเนินงานเพิ่มขึ้นในไตรมาส 2 ปี 2566 จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ 120% อยู่ที่ 2.6 พันล้านบาท ซึ่งผลส่วนใหญ่มาจากการเป็นช่วงฤดูการเดินทางในทวีปยุโรป โดยเฉพาะความต้องการเดินทางเพื่อท่องเที่ยวและเพื่อธุรกิจในทุกกลุ่มลูกค้า ส่งผลให้อัตราการเข้าพักเฉลี่ย อยู่ที่ 72% และราคาค่าห้องพักเฉลี่ยที่สูงขึ้นถึง 18% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนสำหรับโรงแรมที่บริษัทเป็นเจ้าของในทวีปยุโรปและลาตินอเมริกา

ขณะที่โรงแรมในภูมิภาคอื่นมีผลประกอบการที่ดีจากการฟื้นตัวของความต้องการการเดินทางเช่นเดียวกัน นำโดยประเทศไทยที่มีอัตราการเติบโตของรายได้เฉลี่ยต่อห้องต่อคืนอยู่ที่ 62% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน แรงผลักดันจากการเดินทางทั่วโลกที่เติบโตอย่างแข็งแกร่ง รวมถึง กลยุทธ์ทางการตลาดและการกำหนดราคาห้องของ MINT ส่งผลให้รายได้เฉลี่ยต่อห้องต่อคืนเติบโตที่ 21% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน


หากย้อนดูถึงผลประกอบการในไตรมาสแรกปี2566ขอกลุ่มโรงแรม ไมเนอร์มีรายได้รวม 24,171 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 76% จากช่วงเดียวกันปีที่แล้วที่ทำได้ 13,760 ล้านบาท โดยรายได้ในไทยเพิ่มขึ้นมากสุดถึง 213% ในยุโรปเพิ่มขึ้น 77% ในออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ เพิ่มขึ้น 22% ในมัลดีฟส์และตะวันออกกลาง เพิ่มขึ้น 3% ในอเมริกา เพิ่มขึ้น 30% สำหรับสัดส่วนรายได้ไตรมาสแรกปีนี้มาจาก ประเทศไทย 16% ต่างประเทศ 84% ขณะที่ปี 2564 ทั้งปี สัดส่วนรายได้มาจากไทย 9% และสัดส่วนรายได้จากต่างประเทศ 91%

ทั้งนี้แผนงานต่อเนื่องตามที่ นายดิลลิป ราชากาเรีย ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล และประธานเจ้าหน้าที่บริหารไมเนอร์ โฮเทลส์ ุเคยกล่าวในช่วงที่ผ่านมายังคงเดินหน้าตามแผนงานระยะ 3 ปี (พ.ศ.2566-2568) ที่จะขยายเครือข่ายโรงแรมทั่วโลกทั้งหมดทุกแบรนด์ที่มีอยู่มีกำหนดเปิดบริการภายในปี 2568 รวมอีก 65แห่ง มากกว่า 13,000 ห้อง โดยแบ่งเป็น โรงแรมที่ลงทุนเป็นเจ้าของเอง จำนวน 7 แห่ง และอีก 58 แห่งรูปแบบรับบริหาร ซึ่งในจำนวนนี้มีตลาดใหม่ 3 ประเทศ ที่ไมเนอร์ฯขยายตลาดเข้าไปใหม่ในแง่การรับบริหารคือ อียิปต์ เปรู และบาห์เรน

จากปัจจุบันเมื่อสิ้นสุดวันที่ 31 พฤษภาคม 2566 ไมเนอร์ โฮเทลส์ มีธุรกิจโรงแรม เซอร์วิส สวีท ทั้่งในรูปแบบที่เป็นเจ้าของเอง ผู้รับบริหาร และผู้ร่วมลงทุน จำนวน 530 แห่ง ใน 56 ประทศ จำนวนห้องพักมากกว่า 76,000 ห้อง จากทั้งหมด 8 แบรนด์ข้างต้น และแบรนด์อื่นๆได้แก่ แมริออท โฟร์ซีซั่นส์ เซ็นต์รีจิส เรดิสันบลู และโรงแรมภายใต้ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล ในภูมิภาคเอเซียแปซิฟิก ตะวันออกกลาง แอฟริกา มหาสมุทรอินเดีย ยุโรป อเมริกาใต้ และ อเมริกาเหนือ

นายดิลลิป กล่าวก่อนหน้านี้่ไม่นานด้วยว่า จากการวิเคราะห์สถานการณ์ภาพรวมและแนวโน้มของธุรกิจการท่องเที่ยวและโรงแรมจากนี้ไป โดยเฉพาะไตรมาสที่3และ4 น่าจะดีขึ้นตามลำดับกว่าที่ผ่านมา แม้ว่าตลาดนักท่องเที่ยวจีนยังไม่กลับมาสมบูรณ์แบบก็ตามในประเทศไทย แต่ก็ยังมีตลาดอื่นเข้ามาทดแทนกันได้ ไม่ว่าจะเป็นตลาดนักท่องเที่ยวจากอินเดีย รัสเซีย ซาอุดิอาระเบีย รวมทั้งตลาดยุโรปอีกหลายประเทศที่มีการเดินทางท่องเที่ยวกันมากขึ้น หลังจากไม่ได้มีการเดินทางกันมานานในช่วงโควิด-19ระบาดอย่างหนักทั่วโลก ล้วนแต่เป็นตลาดที่มีศักยภาพไม่แพ้จีนเช่นกัน

ไม่ใช่ธุรกิจโรงแรมที่พักอย่างเดียวเท่านั้น ที่มีการเติบโตในทิศทางทีดีต่อเนื่อง ทว่า ธุรกิจอาหาร เครื่องดื่ม ของไมเนอร์ ฟู้ด ก็ยังเติบโตดีและมีกำไรสุทธิจากการดำเนินงานเพิ่มขึ้น รวมถึงยอดขายรวมทุกสาขาและยอดขายต่อร้านเติบโตกว่า 2 หลักด้วยเช่นกัน


โดยไมเนอร์ ฟู้ด มีผลกำไรจากการดำเนินงานเติบโตอย่างแข็งแกร่งเป็นจำนวน 427 ล้านบาท ในไตรมาส 2 ปี 2566 เทียบกับ 4 ล้านบาทในช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยความสามารถในการทำยอดขายต่อร้านของร้านอาหารในประเทศไทยเติบโตกว่าอัตรา 12% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน มาจากการคิดค้นกลยุทธ์ทางการตลาดรูปแบบไวรัลมาร์เก็ตติ้ง และผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ที่มีอย่างต่อเนื่อง

ในขณะที่การฟื้นตัวอย่างมีนัยสำคัญของร้านอาหารในประเทศจีนจากการยกเลิกมาตรการปิดเมืองและสามารถนั่งรับประทานในร้านได้ส่งผลให้ยอดขายต่อร้านในไตรมาส 2 ปี 2566 ในจีนเพิ่มสูงขึ้นถึงอัตรา 40% จากไตรมาส 2 ปี 2565

MINT เป็นผู้นำในธุรกิจร้านอาหาร ซึ่งมีขนาดใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในเอเชีย โดยมีร้านอาหารกว่า 2,500 สาขา ใน 23 ประเทศ ภายใต้แบรนด์ เดอะ พิซซ่า คอมปะนี, เดอะ คอฟฟี่ คลับ, ริเวอร์ไซด์, เบนิฮานา, ไทย เอ็กซ์เพรส, บอนชอน, สเวนเซ่นส์, ซิซซ์เลอร์, แดรี่ ควีน, เบอร์เกอร์ คิง, คอฟฟี่ เจอนี่ และกาก้า นอกเหนือจากร้านอาหารพันธมิตรเชิงกลยุทธ์กว่า 1000 สาขา (เช่น S&P และเบรดทอล์ค) อีกทั้งยังเป็นผู้นำด้านการจัดจำหน่ายสินค้าไลฟ์สไตล์และรับจ้างผลิต ซึ่งมีขนาดใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในประเทศไทย ภายใต้แบรนด์ อเนลโล่, เบิร์กฮอฟฟ์, บอสสินี่, ชาร์ล แอนด์ คีธ, โจเซฟ โจเซฟ, สวิลลิ่ง เจ. เอ. เฮ็งเคิลส์ และไมเนอร์ สมาร์ท คิดส์ สำหรับรายละเอียดเพิ่มเติมเยี่ยมชมได้ที่เว็บไซต์ www.minor.com

ทั้งหมดของรายได้จากการดำเนินงานที่เติบโตอย่างแข็งแกร่งและความมุ่งมั่นในการบริหารจัดการต้นทุนส่งผลต่อการเติบโตของกำไร

อย่างไรก็ตาม ผลกำไรสุทธิจากการดำเนินงานที่แข็งแกร่งของบริษัทในไตรมาส 2 ปี 2566 ไม่เพียงแต่เป็นผลจากการเติบโตของรายได้ในส่วนของโรงแรมที่มากจากราคาค่าห้องพักเฉลี่ยที่สูงขึ้น และจากการเติบโตของยอดขายต่อร้านในส่วนของกลุ่มร้านอาหาร

แต่ยังมีเป็นส่วนจากความสำเร็จในการบริหารเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและผลการดำเนินงานในทุกกลุ่มธุรกิจเช่น โรงแรม ร้านอาหาร และส่วนสำนักงาน ส่งผลให้อัตราทำกำไรสุทธิในไตรมาส 2 ปี 2566 เติบโต 7.4% จาก 3.7% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน หรือเกือบเท่าตัวเลยทีเดียว

ทางด้านสถานะการเงินที่แข็งแกร่งสนับสนุนต่อการเติบโตและการขยายกิจการของบริษัท

บริษัทยังคงมุ่นมั่นในการสร้างความแข็งแกร่งให้กับฐานะทางการเงินส่งผลให้ MINT มีฐานะการเงินที่แข็งแกร่งด้วยเงินสดในมือและวงเงินสินเชื่ออยู่ในระดับที่แข็งแกร่งอยู่ที่จำนวน 2.2 หมื่นล้านบาท และ 3.1 หมื่นล้านบาท ตามลำดับ ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2566 ในส่วนของฐานะทางการเงิน MINT มีอัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยสุทธิที่ 1.09 เท่า ต่ำกว่าระดับที่ MINT กำหนดเกณฑ์ภายในบริษัทที่ 1.30 เท่า และต่ำกว่าเงื่อนไขของพันธสัญญาหนี้ที่ 1.75 เท่า

กลยุทธ์ดังกล่าวจะส่งผลให้ MINT ได้รับประโยชน์สูงสุดจากต้นทุนการเงินรวมถึงเพิ่มความสามารถในการขยายธุรกิจเพื่อความยั่งยืนทางการเงินในอนาคตต่อไป


กำลังโหลดความคิดเห็น