ผู้จัดการรายวัน 360- เอสบีโอ เดินหน้าบุกตลาดเครื่องครับแบบโซลูชั่นครบวงจร ผุด คูซิน่า แกลเลอเรียใจกลางสาทร ขยายตลาดระดับไฮเอนด์ ประเดิม 4 แบรนด์ดัง รับตลาดเครื่องครัวบูม หลังโควิดซาลง
นายกฤตนัน สนธิจิรวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เดอะซิกเนเจอร์ แบรนด์ จำกัด หรือเอสบีโอ/SBOเปิดเผยว่า บริษัทฯวางเป้าหมายที่จะรุกขยายตลาดโซลูชั่นเครื่องครัวและเครื่องใช้ไฟฟ้าในครัวเรือนที่เกี่ยวข้องด้วยบริการแบบครบวงจร เพื่อเป็นการรองรับกับตลาดเครื่องครัวที่มีการเติบโตอย่างดี
อีกทั้งสอดรับกับช่วงโควิดที่ผ่านมา ตลาดเครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้านโดยเฉพาะเครื่องครัว มีการเติบโตอย่างมาก เพราะพฤติกรรมของคนต้องอยู่กับบ้านมากขึ้น ทำให้หันมาสนใจในการแต่งบ้านปรับปรุงบ้านมากขึ้น รวมทั้งการทำอาหารเองที่บ้านก็มากขึ้นตามไปด้วย ส่งผลดีต่อตลาดเครื่องครัวเติบโตตามไปด้วย
“ภาพรวมของธุรกิจเครื่องครัวในประเทศไทยมีแนวโน้มการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยมีปัจจัยบวกจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจภายหลังสถานการณ์โควิด และปริมาณความต้องการเครื่องครัวในประเทศมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น รวมถึงปัจจัยเสริมจากกลุ่มคนที่มีรายได้ระดับกลางขึ้นไป ที่นิยมซื้อคอนโดมิเนียมไว้เก็งกำไรหรือเป็นบ้านหลังที่ 2 ส่งผลให้จำนวนครัวเรือนเพิ่มขึ้นและทำให้ความต้องการซื้อเครื่องครัวสูงตามไปด้วย”
โดยในปี 2565 ที่ผ่านมากลุ่มแบรนด์ “เทคโนแก๊ส” ซึ่งมีผลิตภัณฑ์ครอบคลุมมากกว่า 10 รายการ อาทิ เครื่องดูดควัน เตาอบ เตาตั้งพื้น เตาไฟฟ้า ได้กระแสการตอบรับจากผู้บริโภคเป็นอย่างดี ส่งผลให้ยอดขายเติบโตเพิ่มขึ้นราว 10 % เมื่อเทียบกับปี 2564 ทั้งนี้จากความสำเร็จดังกล่าว ส่วนหนึ่งมาจากการที่เราได้ “นุ้ย สุจิรา" มาเป็น แบรนด์แอมบาสเดอร์ ซึ่งเปรียบเสมือนตัวแทนผลิตภัณฑ์เทคโนแก๊สในการทำหน้าที่ส่งมอบความสุขผ่านการทำอาหาร ทำให้ผู้บริโภคเกิดความเชื่อมั่นในแบรนด์และตัวผลิตภัณฑ์ ปีนี้ก็เป็นต่อเนื่องอีกปีที่2
ล่าสุดต้นปี2566นี้บริษัทฯได้ลงทุนเปิดโชว์รูมใหม่บนบ้านเก่าอายุมากกว่า 150 ปี ใจกลางสาทร มาปรับปรุงใหม่เป็นชื่อว่า คูซิน่า แกลเลอเรีย (CUCINA GALLERIA) พื้นที่ประมาณ 300 ตารางเมตรซึ่งจะเป็นศูนย์รวมของเครื่องใช้ไฟฟ้านำเข้าจากต่างประเทศระดับไฮเอนด์ที่ไม่มีวางขายตามท้องตลาดทั่วไปหรือตามโมเดิร์นเทรดต่างๆ เพราะเจาะตลาดกลุ่มระดับบน เบื้องต้นนี้จะมีสินค้าระดับบน 4 แบรนด์ นำเข้ามาวางจำหน่ายซึ่งบริษัทเป็นผู้ได้รับสิทธิ์ทำตลาดในไทย คือ เอลิก้า (Elica) ,บาราซซ่า (Barazza) ,ฟาบิต้า (Fabita) จากประเทศอิตาลี และ แชมบอร์ด (Chambord) จากประเทศฝรั่งเศส เพื่อต้องการให้ลูกค้าหรือผู้ที่สนใจได้มาสัมผัสนวัตกรรมและดีไซน์ที่โดดเด่น สวยงาม พร้อมทดลองผลิตภัณฑ์จริงก่อนตัดสินใจซื้อ
ขณะที่อีก 3 แบรนด์เดิมหลักนั้น ก็ยังมีการขยายตัวอย่างต่อเนื่อง คือ เทคโนแก๊ส (Tecnogas) ที่เจาะตลาดระดับบน แบรนด์ เทคโนพลัส (Tecnoplus ) เจาะตลาดระดับกลาง และแบรนด์เทคโนสตาร์ (Tecnostar) เจาะตลาดระดับล่างเป็นไฟท์ติ้งแบรนด์ โดยทั้่งสามแบรนด์มีสัดส่วนรายได้ใกล้เคียงกัน 40% - 30% - 30% จากรายได้รวม โดยเฉพาะอย่างยิ่งแบรนด์เทคโนพลัสจะมีการขยายตัวมากขึ้น เพราะเป็นตลาดระดับกลางที่มีขนาดใหญ่
ปัจจุบันบริษัทฯ มีจุดจำหน่ายผลิตภัณฑ์มากกว่า 250 แห่งทั่วประเทศ อาทิ แผนกเครื่องครัวภายในศูนย์การค้าชั้นนำ ร้านค้าตัวแทนจำหน่าย และโมเดิร์นเทรด ได้แก่ โฮมโปร ไทวัสดุ บุญถาวร ดูโฮม เมกาโฮม และโกลบอลเฮ้าส์ เพื่อให้ครอบคลุมและง่ายต่อการเข้าถึงในทุกพื้นที่ รวมไปถึงช่องทางการซื้อสินค้าออนไลน์ ผ่านเว็บไซต์ Tecnogasthai.com , Shopee ,Lazada ,Nocnoc ,24 shopping ,Kitchenform ,Privillage และ Central online ซึ่งความหลากหลายของช่องทางจัดจำหน่ายจะทำให้ลูกค้าได้รับความสะดวกสบายในการเข้าถึงและเลือกซื้อสินค้า รวมทั้งงานโครงการด้วย
นายกฤตนัน กล่าวว่า ปีนี้จะออกสินค้าใหม่ของเทคโนแก๊ส ล่าสุด "Black series" ออกสู่ตลาด ซึ่งมีทั้ง เตาอบ เตาไฟฟ้า เครื่องดูดควัน ที่จะมาในดีไซน์โทนสีดำโมเดิร์น ทันสมัย สามารถแมตซ์ได้อย่างดีกับห้องครัวในทุกรูปแบบ ซึ่งจะมาอวดโฉมที่ประเทศไทยเป็นที่แรกของโลกในงานนี้ ชมผลิตภัณฑ์ได้ที่โชว์รูมเหม่งจาย และเตรียมกระจายไปสู่ห้างสรรพสินค้าชั้นนำและโมเดิร์นเทรดในช่วงไตรมาสที่ 4 ของปีนี้
นอกจากนี้ ยังได้วางเป้าหมายที่จะขยายตลาดแมส มาร์เก็ต (Mass Market)ให้มากขึ้น ผ่านแบรนด์ “เทคโนพลัส” (Tecno+) ซึ่งเป็นกลุ่มเครื่องใช้ไฟฟ้าและแก๊สในครัวเรือน ที่โดดเด่นด้านดีไซน์และการใช้งาน เทียบเท่ามาตรฐานของยุโรป ในราคาที่เข้าถึงได้ พร้อมฟังก์ชันการปรุงอาหารที่รองรับการทำอาหารได้ทุกไลฟ์สไตล์ โดยเฉพาะกลุ่มคนเริ่มทำงานและสร้างครอบครัว โดยมีผลิตภัณฑ์เครื่องครัวให้เลือกมากกว่า 15 รายการ อาทิ เครื่องดูดควัน เตาอบ เตาตั้งพื้น เตาไฟฟ้า เครื่องล้างจาน ซึ่งปัจจุบัน “เทคโนพลัส” มีวางจำหน่ายที่แผนกเครื่องครัว ภายในห้างสรรพสินค้าชั้นนำและโมเดิร์นเทรดครอบคลุมทั่วประเทศ
โดยปีนี้คาดวา่จะมีรายได้รวมเติบโต 7%-10% หรือทะลุพันล้านบาท จากปีที่แล้วที่มีราคาประมาณ 970 ล้านบาท ส่วนปี 2565 มีรายได้รวม 940 ล้านบาท โต 10%