ผู้จัดการรายวัน 360 – “สหพัฒน์” โดย SPI เคลื่อนทัพครั้งใหญ่ เสริมแกร่งธุรกิจภาคบริการมากขึ้นลดเสี่ยงจากธุรกิจเดิมการผลิต ล่าสุดทุ่มงบกว่า 7,000 ล้านบาท ผุด คิงสแควร์ มิกซ์ยูส ย่านพระราม มูลค่าโครงการแล้วเสร็๋จกว่าหมื่นล้านบาท บิ๊กโปรเจ็คต์ใหญ่สุดในประวัติศาสตร์ “โชควัฒนา”
นายวรยศ ทองตัน กรรมการบริหารผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานลงทุนและยุทธศาสตร์องค์กร บริษัท สหพัฒนาอินเตอร์โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ เอสพีไอ/SPI เปิดเผยว่า เอสพีไอ มีแผนการลงทุนที่อาจจะกล่าวได้ว่าเป็นการลงทุนครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของเครือสหพัฒน์ก็ว่าได้ กับแผนการดำเนินงานพัฒนาอสังหาริมทรัพย์โครงการ คิง สแควร์ คอมเพล็กซ์ เป็นมิกซ์ยูสแห่งใหม่ในกรุงเทพ ในนามบริษัท คิง สแควร์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด จดทะเบียนเมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม 2565 มีทุนจดทะเบียน 800 ล้านบาท
โครงการดังกล่าวคาดว่าต้องใช้งบลงทุนรวม7,000 กว่าล้านบาท แต่มีมูลค่าโครงการเมื่อแล้วเสร็จประมาณ 10,000 ล้านบาท ตั้งอยู่บนพื้นที่ประมาณ 20 ไร่ ย่านถนนพระรามสาม ใกล้กับโรงเรียนนานาชาติ คิงส์ คอลเลจ กรุงเทพฯ คาดว่าจะเริ่มดำเนินการก่อสร้างประมาณไตรมาสที่่4ปี2566นี้ และคาดว่าจะก่อสร้างแล้วเสร็จเปิดได้ครบทั้งโครงการประมาณปลายปี 2569
ในโครงการคิง สแควร์ ประกอบไปด้วยหลายส่วน คือ คอนโดมิเนียม ซึ่งส่วนนี้จะร่วมลงทุนกับทางกลุ่มโตคิวของญี่ปุ่น แบ่งการลงทุนดังนี้ คือ กลุ่มสหพัฒน์ ถือหุ้นรวม 65% กับบริษัทโตคิว คอร์ปอเรชั่น ญี่ปุ่น ถือหุ้น 35% ซึ่งตามแผนงานจะสร้างคอนโดมิเนียมก่อน โดยมีความสูง52 ชั้น ซึ่งได้รับการอนุมัติรายงานผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม(อีไอเอ)แล้ว คาดว่าจะใช้เวลาาก่อสร้าง 30 เดือน ซึ่งการร่วมทุนกับโตคิว นอกจากจะได้เงินทุนมาร่วมลงทุนแล้ว บริษัทยังได้องค์ความรู้ต่างๆจากโตคิวด้วย เยื่องจากโตคิวเป็นผู้ให้บริการรถไฟรายแรกในประเทศญี่ปุ่น รวมทั้งการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ด้วย ส่วนเฟสที่2จะสร้างคอมมูนิตี้มอลล์ และเซอร์วิสอพาร์ทเมนต์ ถือเป็นครั้งแรกด้วยที่กลุ่มสหพัฒน์ทำเซอร์วิสอพาร์ทเมนต์
สำหรับกลุ่มเป้าหมายหลักของโครงการจะเน้นทั้งคนในพื้นที่ใกล้เคียงและพื้นที่รอบนอก ทั้งคนไทยและคนต่างชาติ หลักๆคือ กลุ่มครอบครัวและผู้ปกครองรวมทั้งเจ้าหน้าที่อาจารย์ ที่มากกว่า 1,200 คน ของโรงเรียนนานาชาติ คิงส์ คอลเลจ กรุงเทพฯ King’s College International School Bangkok ที่อยู่ใกล้กัน ซึ่งทางสหพัฒน์ก็ถือหุ้นในโรงเรียนนานาชาติคิงส์คอลเลจกรุงเทพฯด้วยเช่นกันจำนวน 10% บนพื้นที่กว่า 22.5 ไร่ ด้วยงบลงทุนรวมกว่า 4,000 ล้านบาท และเปิดเรียนวันแรกไปเมื่อวันที่ 10 กันยายน 2563 โดยโรงเรียนแห่งนี้เป็นสาขาของ King’s College School, Wimbledon ประเทศอังกฤษ สาขาที่ประเทศไทยนั้นเป็นสาขานอกประเทศอังกฤษแห่งที่3 ของโลก (โดย2 สาขาก่อนหน้านี้อยู่ในเมืองอู๋ซีและหางโจว ประเทศจีน)
สำหรับโครงการนี้ถือเป็นโครงการใหม่ที่ต่อยอดและเติมเต็มกับโครงการคิงบริดจ์ ทาวเวอร์ ที่อยู่ย่านพระราม3 ใกล้เคียงกันอีกด้วย โดยคิงบริดจ์ทาวเวอร์โดดเด่นด้วยสถาปัตยกรรมและตั้งเด่นสง่าอยู่เคียงข้างกับสะพานภูมิพล ด้วยมูลค่าโครงการ 6,000 ล้านบาท เป็นการร่วมลงทุนของบริษัทในเครือสหพัฒน์ ขณะนี้ยังอยู่ระหว่างการก่อสร้าง คาดว่าจะแล้วเสร็จในไตรมาส4 ปีประมาณปี2567 เป็นอาคารสำนักงานให้เช่าเกรดเอ มีพื้นที่เช่าประมาณ 85,000 ตารางเมตร สำหรับลูกคา้ผู้เช่าพื้นที่ออฟฟิศส่วนใหญ่นั้นกว่า 50% จะเป็นบริษัทในเครือสหพัฒน์และบริษัทจากญี่ปุ่น จุดเด่นโครงการคิงบริดจ์ทาวเวอร์ นี้จะเป็นอาคารสำนักงานให้เช่าที่สูงที่สุดในประเทศไทยที่ติดริมแม่น้ำเจ้าพระยา
อย่างไรก็ตาม แนวทางการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ไม่ได้จำกัดว่าจะต้องเป็นรูปแบบใด ขึ้นอยู่กับความหมาะสมของขนาดพื้นที่และทำเลเป็นหลัก รวมทั้งโอกาสของตลาดด้วย ซึ่งบริษัทมีแลนด์แบงก์หลายแห่ง แต่ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นแลนด์แบงก์ที่อยู่ในย่านถนนพระรามสามเป็นหลัก และมีที่ดินในสวนนิคมอุตสาหกรรมอีกจำนวนมากมายหลายพันไร่ ที่ โดยแนวทางการทำธุรกิจการบริการใหม่ๆนี้จะขึ้นอยู่กับจังหวะและโอกาสที่เหมาะสม ตามหลักการที่วางไว้คือ เร็ว ช้า หนัก เบา ตามนโยบายของประธานเครือสหพัฒน์
นายวรยศ กล่าวด้วยว่า สาเหตุหลักๆที่บริษัทหันมาขยายธุรกิจอสังหาริมทรัพย์อย่างเต็มตัวนี้ก็เป็นไปตามทิศทางและนโยบายที่เอสพีไอ จะขยายสู่ํธุรกิจภาคการบริการมากขึ้นเพื่อเป็นการกระจายและลดความเสี่ยงจากการดำเนินธุรกิจเพียงไม่กี่อย่างเท่านั้น โดยเฉพา กลุ่มสหพัฒน์ที่่ส่วนใหญ่เน้นไปที่ภาคการผลิตและจำหน่าย เป็นหลัก โดยเฉพาะภาคการผลิตสิ่งทอ เครื่องหนัง แนวโน้มในอนาคตจะลำบากมากขึ้น เนื่องจาก มีการแข่งขันที่สูงและต้นทุนการผลิตของไทยก็สูงกว่าประเทศเพื่อนบ้าน จึงต้องมองไปที่ธุรกิจปลายน้ำหรือภาคการบริการมากขึ้นด้วย ที่ผ่านมาเราก็ทำไปบ้างแล้ว เช่น โรงเรียนนานาชาติ โรงเรียนสอนภาษาญี่ปุ่นวาเซดะ กลุ่มโรงพยาบาล เป็นต้น
โดยแผนการลงทุนแต่ละปีวางงบประมาณการลงทุนไว้เฉลี่ยที่ 2,000-3,000 ล้านบาท ส่วนปีนี้ใช้งบลงทุนประมาณ 2,000 ล้านบาท ซึ่งโครงการคิง สแควร์ คอมเพล็กซ์นี้เป็นการลงทุนใช้งบต่อเนื่องหลายปี
ทั้งนี้ปัจจุบันมีสัดส่วนรายได้ที่มาจากภาคบริการยังน้อยมากเพียง 5% เท่านั้น โดยรายได้หลักยังคงมาจาก 3 กลุ่ม คือ สวนอุตสาหกรรม พลังงานไฟฟ้า ฯ สัดส่วน45-50%, อาหารและเครื่องดื่ม 30-40% ที่เหลือคือกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค(FMCG) จากรายได้รวมในปี 2565 ที่ทำได้ประมาณ 8,392 ล้านบาท เติบโต 7.5% และมีผลกำไรโดยรวมอยู่ที่ 3,361 ล้านบาท เติบโต 9.7% จากการปรับโครงสร้างธุรกิจของเครือในช่วงที่ผ่านมากว่า 10 ปี ทำให้ผลประกอบการมีการเติบโตเฉลี่ยที่ 7.5% ต่อปีต่อเนื่องมาตลอดจากปี 2555 ที่มีรายได้รวมประมาณ 4,056 ล้านบาท และกำไรอยู่ที่ 1,337 ล้านบาท