ทอท.ลุยขยาย 6 สนามบิน เทงบแสนล้านบาท คาดเสร็จปี 70 รับผู้โดยสาร 200 ล้านคน ปี67 ตอกเข็มอาคารตะวันออก”สุวรรณภูมิ” ลุ้นรัฐบาลใหม่ เคาะโอน 3 สนามบินภูมิภาค มั่นใจ ผู้โดยสารปี 66 รีเทิร์นตามเป้า 95 ล้านคน
นายกีรติ กิจมานะวัฒน์ ผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) (AOT) หรือ ทอท. เปิดเผยถึงแผนพัฒนาเพื่อขยายขีดความสามารถการรองรับผู้โดยสารของท่าอากาศยานทั้ง 6 แห่งว่า วางเป้าหมายแล้วเสร็จในปี 2570 โดยคาดว่าจะมีรองรับผู้โดยสารได้ 200 ล้านคน/ปี โดยใช้งบลงทุนกว่า 1 แสนล้านบาท ซึ่งเงินลงทุนทั้งหมดจะมาจากการดำเนินงานของทอท.
@ปี67 ตอกเข็มอาคารตะวันออก”สุวรรณภูมิ”
ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ มีโครงการก่อสร้างส่วนต่อขยายด้านทิศตะวันออกของอาคารผู้โดยสาร (East Expansion) มูลค่าลงทุน 8 พันล้านบาท จะเพิ่มพื้นที่อีก 60,000 ตารางเมตร รองรับผู้โดยสารได้เพิ่มเป็น 15 ล้านคน/ปี ทำให้ลดความหนาแน่นบริเวณพื้นที่ให้บริการของอาคารผู้โดยสารหลัก ซึ่งปัจจุบันอยู่ระหว่างปรับปรุงแบบก่อสร้างเพื่อให้สอดรับกับบริบทการบินที่เปลี่ยนแปลงไป โดยคาดว่าจะดำเนินการปรับปรุงแบบฯ แล้วเสร็จเปิดประมูลผู้รับเหมาก่อสร้างในต้นปี 2567 สร้างเสร็จ 2570
ส่วนต่อขยายด้านทิศตะวันตกของอาคารผู้โดยสาร (West Expansion) มูลค่าลงทุน 8 พันล้านบาท จะรองรับผู้โดยสารเพิ่มอีก 15 ล้านคน/ปี โดยจะดำเนินการต่อเนื่องเมื่อ East Expansion ก่อสร้างเสร็จ ส่วนอาคารด้านทิศเหนือและทิศใต้ จะมีการพิจารณา อีกครั้ง
สำหรับโครงการพัฒนาท่าอากาศยานดอนเมืองระยะที่ 3 มูลค่าการลงทุน 3.6 หมื่นล้านคน คณะรัฐมนตรี (ครม.) อนุมัติแล้ว อยู่ในขั้นตอนการออกแบบ คาดจะออกแบบแล้วเสร็จในปลายปี 2567 เปิดประมูลผู้รับเหมาก่อสร้าง ซึ่งจะเริ่มก่อสร้างในปี 2568 แล้วเสร็จในปี 2570 จะมีงานก่อสร้างอาคารผู้โดยสารหลังที่ 3 พื้นที่ 160,000 ตารางเมตร รองรับผู้โดยสารระหว่างประเทศ และจะมีการปรับปรุงอาคารผู้โดยสารหลังที่ 1 และ 2 ปัจจุบัน มีพื้นที่ 240,000 แสนตารางเมตร เพื่อรองรับผู้โดยสารในประเทศ คาดว่าทั้งหมดจะรองรับผู้โดยสาร 50 ล้านคน/ปี
นอกจากนี้ จะมีการปรับปรุงระบบจราจรโดยจะก่อสร้างชานชาลารับ-ส่ง เป็น 6 ช่องจราจร รวมถึงก่อสร้างทางเชื่อมจากทางยกระดับดอนเมืองโทลล์เวย์เข้าสู่ชานชาลาผู้โดยสารขาออก และก่อสร้างทางขึ้นทางยกระดับฯ จากภายใน ท่าอากาศยานดอนเมือง ตลอดจนก่อสร้างจุดเชื่อมต่ออาคารผู้โดยสารไปยังรถไฟฟ้าสายสีแดงด้วย
@ขยายภูเก็ตและเชียงใหม่ เพิ่มการรองรับเป็น18 ล้านคน/ปี
โครงการขยายอาคารผู้โดยสารท่าอากาศยานภูเก็ตที่ปัจจุบันรองรับได้ 12 ล้านคน/ปี แบ่งเป็น ระหว่างประเทศ 6 ล้านคน/ปี และในประเทศ 6 ล้านคน/ปี ซึ่งมีความแออัดมาก จะขยายให้รองรับได้ 18 ล้านคน/ปี ปัจจุบันอยู่ระหว่างการออกแบบ คาดเริ่มก่อสร้างได้ในปี 68 งบลงทุนประมาณ 1 หมื่นล้านบาท
โครงการสร้างอาคารผู้โดยสารท่าอากาศยานเชียงใหม่หลังใหม่ รองรับผู้โดยสารระหว่างประเทศ และปรับปรุงอาคารเดิมรองรับผู้โดยสารในประเทศ จะสามารถรองรับผู้โดยสารเพิ่มเป็น 18 ล้านคน/ปี งบประมาณลงทุนราว 1 หมื่นล้านบาท
สำหรับท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวงเชียงราย และท่าอากาศยานหาดใหญ่ เตรียมงบปรับปรุง โดยจะเพิ่มโถงพักคอยผู้โดยสาร ซึ่งปัจจุบันมีความแออัด
@รอรัฐบาลใหม่ เคาะโอน 3 สนามบินภูมิภาค -ไม่ผ่านฟื้นแผน”เชียงใหม่ 2 และพังงา”
นายกีรติกล่าวถึงการโอนสนามบินภูมิภาค 3 แห่งได้แก่ กระบี่ อุดรธานี และบุรีรัมย์ว่า ขณะนี้ อยู่ในขั้นตอน ที่กรมท่าอากาศยาน (ทย.) ขอรับใบรับรองสนามบินสาธารณะ หลังจากนั้นจะเสนอให้ คณะรัฐมนตรี (ครม.) ขออนุมัติรับโอน ซึ่งต้องรอรัฐบาลใหม่พิจารณาว่าจะมีนโยบายเปลี่ยนแปลงหรือไม่
ทั้งนี้ ในส่วนของทอท.ได้เตรียมความพร้อมรองรับ 3 สนามบินทั้งอุปกรณ์และบุคลากร แต่หากไม่ได้รับอนุมัติการรับโอน 3 สนามบิน ทอท. จะกลับไป ใช้แผนพัฒนาขยายสนามบินภูเก็ต 2 (ที่จ.พังงา ) และสนามบินเชียงใหม่ 2 ซึ่งเป็นแผนเดิมก่อนหน้านี้ ส่วนศูนย์กลางภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จะต้องมีการศึกษาเพิ่มเติม
@มั่นใจ ผู้โดยสารปี 66 เติบโตตามเป้า 95 ล้านคน
ผู้อำนวยการใหญ่ทอท.กล่าวว่า มั่นใจว่า ปีงบประมาณ 2566 เป้าหมาย ผู้โดยสารทั้ง 6 สนามบิน จะกลับมาตามคาดการณ์ไว้ที่ 95 ล้านคน และเพิ่มขึ้นเป็น 142 ล้านคนในปี 2567 โดยในช่วง 8 เดือน (ต.ค.65-พ.ค.66) มีผู้โดยสารทั้งสิ้น 66.38 ล้านคน เพิ่มขึ้น 170.4% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยเป็น ผู้โดยสารระหว่างประเทศ 34.31 ล้านคน เพิ่มขึ้น 635.7% และผู้โดยสารภายในประเทศ 32.06 ล้านคน เพิ่มขึ้น 61.3% ขณะที่เที่ยวบิน 422,900 เที่ยวบิน เพิ่มขึ้น 79% เป็นเที่ยวบินระหว่างประเทศ 202,700 เที่ยวบิน เพิ่มขึ้น 175.2% และเที่ยวบินในประเทศ 220,300 เที่ยวบิน เพิ่มขึ้น 35.4%
นอกจากนี้ ทอท. มีโครงการแก้ไขปัญหาความแออัดของผู้โดยสารในสนามบินสุวรรณภูมิ โดยมีแผนติดตั้งเครื่อง Auto Channel ที่สามารถบริการผู้โดยสารขาออกรองรับ e-Passport ได้ 90 ประเทศ คาดให้บริการนำร่องในสนามบินสุวรรณภูมิและสนามบินดอนเมืองภายในปี 2567
จะทำให้ สนามบินสุวรรณภูมิ สามารถรองรับผู้โดยสารขาออกจาก 6,200 คนต่อชั่วโมง เป็น 8,800 คนต่อชั่วโมง และรองรับผู้โดยสารขาเข้าจาก 11,000 คนต่อชั่วโมง เป็น 13,300 คนต่อชั่วโมง และที่ สนามบินดอนเมืองสามารถรองรับผู้โดยสารขาออกจาก 3,000 คนต่อชั่วโมง
เป็น 3,600 คนต่อชั่วโมง และผู้โดยสารขาเข้าจาก 3,100 คนต่อชั่วโมง เป็น 3,600 คนต่อชั่วโมง
สำหรับการแก้ไขปัญหากระเป๋าสัมภาระล่าช้าเนื่องจากผู้ให้บริการลานจอดและอุปกรณ์ภาคพื้นไม่เพียงพอ คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบ ผู้ประกอบการรายที่ 3 พร้อมกับโครงการให้บริการคลังสินค้า แล้วเมื่อวันที่ 7 มีนาคม 2566 และขณะนี้ อยู่ระหว่างดำเนินการตามกระบวนการของพ.ร.บ.การร่วมลงทุนระหว่างรัฐกับเอกชน พ.ศ.2562 คาดว่าจะได้ผู้ดำเนินการภายในปี 2567
นอกจากนี้ บริษัทฯ จะนำระบบพิสูจน์อัตลักษณ์บุคคล (Automated Biometric Identification System: Biometric) ด้วยเทคโนโลยี Facial Recognition เพื่อใช้ในการระบุตัวตนของผู้โดยสาร โดยเมื่อผู้โดยสารมาเช็กอินที่เคาน์เตอร์เช็กอินปกติ หรือที่เครื่อง CUSS หากผู้โดยสารให้การยินยอมใช้ข้อมูลอัตลักษณ์ ระบบ Biometric จะนำข้อมูลใบหน้าผู้โดยสารผสานกับข้อมูลการเดินทางของผู้โดยสารสร้างเป็นข้อมูลสำหรับใช้ในการตรวจสอบยืนยันตัวตน เรียกว่า ข้อมูล One ID เมื่อดำเนินการสำเร็จ ผู้โดยสารจะใช้เพียงใบหน้าสแกนเพื่อโหลดกระเป๋า สัมภาระที่เครื่อง CUBD รวมถึงใช้ยืนยันตัวตนแทนการใช้ Boarding Pass ณ จุดตรวจค้นและขั้นตอนการตรวจบัตรโดยสาร ณ ประตูทางออกขึ้นเครื่องด้วย โดยขณะนี้บริษัทฯ ได้ติดตั้ง พัฒนาและอยู่ระหว่างทดสอบระบบร่วมกับสายการบิน คาดว่าจะมีความพร้อมให้บริการได้ในช่วงกลางปี 67
@วางแผนลงทุน ผลิตไฟฟ้าโซลาร์ 50 MW ใช้ใน 6 สนามบิน
นายกีรติ กล่าวว่า ทอท.ห้ความสำคัญในการบริหารท่าอากาศยาน เพื่อให้เป็นท่าอากาศยานสากลชั้นนำที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและชุมชนอย่างยั่งยืน จึงมีแผนโครงการพลังงานทดแทนในท่าอากาศยาน โดยเฉพาะในท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ซึ่งนำร่องติดตั้งโซลาร์รูฟท้อป ขนาดกำลังการผลิต 4.4 เมกะวัตต์ เริ่มใช้งานเดือน ส.ค.2566 และจะดำเนินการติดตั้งโซลาร์รูฟท้อป การติดตั้งโซลาร์ฟาร์ม โซลาร์ลอยน้ำ ในทุกท่าอากาศยาน ขนาดกำลังการผลิตรวม 50 เมกะวัตต์ ภายใน 4 ปีนี้ โดยจะมีเอกชนเข้ามาติดตั้งระบบให้และจะขายไฟฟ้าให้กับบริษัทฯ ในราคาถูก ซึ่งราคาไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์จะใช้ในช่วงเวลากลางวัน ค่าไฟจะลดลงจากปกติ 20-30%
นอกจากนี้มีแผนเปลี่ยนรถและอุปกรณ์ภาคพื้นดินที่ให้บริการในท่าอากาศยานเป็นระบบไฟฟ้า เพื่อมุ่งสู่การเป็นสนามบินที่ปล่อยคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero Carbon)