xs
xsm
sm
md
lg

บ้านปูชี้ราคาก๊าซฯ-ถ่านหินลดลง ฉุดกำไรไตรมาส 1/66 วูบ 53%

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



บ้านปูแจงกำไรไตรมาส 1/66 ดิ่ง 53% จากช่วงเดียวกันปีก่อนมาอยู่ที่ 147 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือราว 4,988,017 ล้านบาท ปัจจัยหลักมาจากราคาก๊าซฯ และถ่านหินลดลง แม้ว่ามีปริมาณการขายเพิ่มขึ้น ยันกระแสเงินสดดี แม้ว่าราคาพลังงานโลกผันผวน ขณะเดียวกันเร่งเสริมแกร่งธุรกิจอีโมบิลิตีและแบตเตอรี่เต็มสูบ

นางสมฤดี ชัยมงคล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน)(BANPU) เปิดเผยผลการดำเนินงานไตรมาส 1 ปี 2566 ว่า บริษัทมีรายได้จากการขายรวม 1,312 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 44,489 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 4 เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีที่ผ่านมา โดยมีกำไรก่อนหักภาษี ดอกเบี้ย ค่าเสื่อมและค่าใช้จ่ายตัดจ่าย (EBITDA) รวม 467 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 15,837 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 22 จากปีก่อน และมีกำไรสุทธิ 147 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 4,988 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันปีก่อนร้อยละ 53

ปัจจัยหลักที่ทำให้กำไรสุทธิในไตรมาส 1 /2566 นี้ลดลงเนื่องจากราคาก๊าซธรรมชาติและราคาถ่านหินปรับตัวลดลง ขณะที่ปริมาณขายถ่านหินคุณภาพสูงและปริมาณการขายก๊าซธรรมชาติเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน และบริษัทรับรู้ส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทร่วมค้าและบริษัทร่วมเพิ่มขึ้นจากโรงไฟฟ้าHPC ที่ลาวซึ่งเดินเครื่องมีประสิทธิภาพและราคาขายไฟที่เพิ่มขึ้นจากการเริ่มขายไฟฟ้าในตลาดค้าส่งไฟฟ้า

อย่างไรก็ดี บริษัทฯ ยังคงสามารถสร้างกระแสเงินสดที่ดี อันเป็นผลจากความสามารถในการบริหารจัดการสินทรัพย์และโครงการต่างๆ ให้ดำเนินงานได้อย่างต่อเนื่องท่ามกลางความผันผวนของราคาพลังงาน


“ในไตรมาสนี้บ้านปูรุกคืบกลุ่มธุรกิจเทคโนโลยีพลังงาน ทั้งการเพิ่มสัดส่วนการถือหุ้นดูราเพาเวอร์ เป็นร้อยละ 65.1 และการลงทุนในโครงการแบตเตอรี่ฟาร์มขนาดใหญ่อิวาเตะ โตโนะ โดยมีกำลังการกักเก็บพลังงานไฟฟ้ารวม 58 เมกะวัตต์ชั่วโมง ซึ่งโครงการนี้เราได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลญี่ปุ่นเพื่อตอบสนองเป้าหมายการปล่อยคาร์บอนเป็นศูนย์ นอกจากนี้ ยังมีการลงทุนในบริษัทบริการเทคโนโลยีรีไซเคิลแบตเตอรี่ลิเทียมไอออน และโซลูชันสลับแบตเตอรี่สำหรับมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้า การขยายการเติบโตทั้งธุรกิจกักเก็บพลังงาน และธุรกิจอีโมบิลิตี ที่ถือว่าเป็นความเคลื่อนไหวสำคัญของบ้านปูในครั้งนี้จะช่วยเสริมแกร่งอีโคซิสเต็มของบ้านปูในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก และเป็นหลักประกันที่สร้างมูลค่าเพิ่มให้กับบ้านปูได้อย่างยั่งยืนในระยะยาว”

นางสมฤดีกล่าวว่า ผลการดำเนินงานในไตรมาส 1 ปี 2566 ของ 3 กลุ่มธุรกิจหลัก มีดังนี้ คือ กลุ่มธุรกิจแหล่งพลังงาน ธุรกิจเหมือง ยังคงความสามารถในการสร้างกระแสเงินสดจากการดำเนินงานได้เป็นอย่างดี ธุรกิจก๊าซธรรมชาติ ดำเนินมาตรการเพื่อให้การผลิตมีประสิทธิภาพ เพื่อคงความสามารถในการสร้างรายได้และกระแสเงินสดอย่างต่อเนื่อง มีการควบคุมต้นทุน การใช้เครื่องมือทางการเงิน เพื่อป้องกันความเสี่ยงจากราคาก๊าซธรรมชาติที่ผันผวน อันเนื่องจากสภาพอากาศในสหรัฐอเมริกาที่ไม่ได้หนาวรุนแรงอย่างที่คาดการณ์ไว้


กลุ่มธุรกิจผลิตพลังงาน ธุรกิจผลิตไฟฟ้าจากพลังงานความร้อน ยังคงรักษาประสิทธิภาพการผลิตได้ดีตามแผน โดยเฉพาะโรงไฟฟ้า HPC ในลาว สามารถมีค่าความพร้อมจ่าย EAF ที่สูงถึง 96% โรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วมในจีน สามารถสร้างกำไรแม้จะได้รับผลกระทบจากต้นทุนเชื้อเพลิงที่สูงขึ้น ด้านธุรกิจผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน โรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ทั้งในจีน ญี่ปุ่น และออสเตรเลีย มีผลประกอบการที่ดีจากสภาพอากาศที่เอื้ออำนวย และมีค่าความเข้มของแสงที่สูง

กลุ่มธุรกิจเทคโนโลยีพลังงาน สร้างการเติบโตอย่างก้าวกระโดด โดยขยายธุรกิจโซลาร์หลังคาและโซลาร์ลอยน้ำในหลายประเทศในเอเชีย รวมกำลังการผลิตติดตั้งทั้งหมด 217 เมกะวัตต์ ขยายธุรกิจระบบกักเก็บพลังงาน ในโครงการฟาร์มแบตเตอรี่ขนาดใหญ่ กำลังการผลิต 58 เมกกะวัตต์ ที่เมืองโตโนะ จังหวัดอิวาเตะ ในญี่ปุ่น คาดว่าจะเริ่มดำเนินการเชิงพาณิชย์ในปี 2568 เพิ่มสัดส่วนการลงทุนใน Durapower จากร้อยละ 47.7 เป็นร้อยละ 65.1 และลงทุนใน Green Li-on ผู้ให้บริการเทคโนโลยีรีไซเคิลแบตเตอรี่ลิเธียมไอออน ไปจนถึงการลงทุนภายใต้ธุรกิจ e-Mobility ในโอยิกะ ผู้ให้บริการโซลูชันสลับแบตเตอรี่สำหรับมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้า ซึ่งมีบริการครอบคลุมหลากหลายประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้


กำลังโหลดความคิดเห็น