ราช กรุ๊ปชี้ปีนี้มีผลการดำเนินงานเติบโตต่อเนื่องจากปี 65 จากการรับรู้กำไรตามสัดส่วนการถือหุ้นโรงไฟฟ้าไพตันที่อินโดนีเซีย และ BAFS มั่นใจภาวะเศรษฐกิจถดถอยจะไม่ส่งผลกระทบต่อบริษัทฯ
นางสาวชูศรี เกียรติขจรกุล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ราช กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) (RATCH) เปิดเผยว่า ในปี 2566 บริษัทมีผลการดำเนินงานเติบโตขึ้นต่อเนื่องจากปีก่อนที่มีรายได้รวม 81,788.08 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 5,782 ล้านบาท เนื่องจากปีนี้บริษัทรับรู้กำไรจากโรงไฟฟ้าถ่านหินไพตัน กำลังการผลิตติดตั้งรวม 2,045 เมกะวัตต์ ที่อินโดนีเซียตามสัดส่วนการถือหุ้นอยู่ที่ 2,500 ล้านบาทต่อปี โดยบริษัทจะเริ่มรับรู้กำไรจากโรงไฟฟ้าไพตันในไตรมาส 3/2566 รวมทั้งปีนี้บริษัทคาดว่ารับรู้กำไรตามสัดส่วนการถือหุ้น 15.53% ใน บมจ.บริการเชื้อเพลิงการบินกรุงเทพ (BAFS) เพิ่มขึ้นกว่าปีก่อนตามการให้บริการเติมน้ำมันอากาศยานที่เพิ่มขึ้นจากการท่องเที่ยวที่ฟื้นตัวดีขึ้น ทำให้สัดส่วนรายได้จากธุรกิจที่ไม่ใช่ไฟฟ้า (Non Power) เพิ่มขึ้นมากกว่า 2%
นอกจากนี้ บริษัทยังมีแผนที่จะเข้าซื้อกิจการโรงไฟฟ้า (M&A) ทั้งที่เปิดดำเนินการแล้วและก่อสร้างใหม่ในเวียดนาม ฟิลิปปินส์ และอินโดนีเซีย รวมทั้งโครงการพลังงานหมุนเวียนในประเทศไทย คาดว่าจะมีกำลังผลิตไฟฟ้าเพิ่มขึ้นไม่ต่ำกว่า 500 เมกะวัตต์
นางสาวชูศรีกล่าวว่า ในครึ่งหลังปี 2566 บริษัทมีแผนจะปิดซ่อมบำรุงโรงไฟฟ้า 3 แห่งซึ่งเป็นไปตามสัญญาซื้อขายไฟฟ้า (PPA) จึงไม่กระทบต่อรายได้บริษัทแต่อย่างใด
ส่วนผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจถดถอยในสหรัฐฯ นั้น แม้ว่าบริษัทฯ จะไม่ได้มีการลงทุนโรงไฟฟ้าในสหรัฐฯ และยุโรป แต่เศรษฐกิจถดถอยส่งผลกระทบในวงกว้าง ซึ่งบริษัทเองก็มีการลงทุนในต่างประเทศทั้งออสเตรเลีย ลาว อินโดนีเซีย ฯลฯ รวมทั้งในประเทศไทย ซึ่งส่วนใหญ่มีสัญญาซื้อขายไฟ (PPA) ช่วยปิดความเสี่ยงเรื่องนี้ได้
นอกจากนี้ ที่ประชุมผู้ถือหุ้นฯ เมื่อวันที่ 24 เมษายน 2566 อนุมัติการจัดสรรกำไรประจำปี 2565 ในอัตราหุ้นละ 1.60 บาท โดยจ่ายปันผลระหว่างกาลครึ่งปีแรกแล้ว 80 สตางค์/หุ้น และคงเหลือการจ่ายปันผลในงวดครึ่งหลังปี 2565 หุ้นละ 80 สตางค์ กำหนดจ่ายเงินปันผลในวันที่ 19 พฤษภาคม 2566
สำหรับผลการดำเนินงานประจำปี 2565 บริษัทฯ มีรายได้รวม 81,788.08 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 84.4% เมื่อเทียบกับปี 2564 เนื่องจากมีรายได้ค่าพลังงานไฟฟ้าของบริษัท ผลิตไฟฟ้าราชบุรี จำกัด (RG) เพิ่มขึ้น จากการที่โรงไฟฟ้าเดินเครื่องมากกว่าปีก่อน และรับรู้รายได้ของ บริษัท สหโคเจน (ชลบุรี) จำกัด (มหาชน) หรือ SCG และ Fareast Renewable Development Pte. Ltd. (FRD) จากการเข้าซื้อหุ้นเมื่อไตรมาสที่ 4 ปี 64 รวมถึงรับรู้รายได้ค่าขายไฟฟ้าของ บริษัท ราช-ออสเตรเลียคอร์ปอเรชั่น จำกัด (RAC) จากการ COD ของโรงไฟฟ้าพลังงานลม Collector เมื่อเดือนมิถุนายน 2564 ประกอบกับราคาค่าขายไฟฟ้าสูงขึ้นจากความต้องการไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้น รวมทั้งบริษัทฯ รับรู้ส่วนแบ่งกำไรของโรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วมเน็กส์ซิฟ ราช เอ็นเนอร์จี ระยอง เพิ่มขึ้นเนื่องจากการ COD เมื่อวันที่ 30 เม.ย. 2565 ประกอบกับรับรู้ส่วนแบ่งกำไรของ บริษัท ไฟฟ้าหงสา จำกัด (HPC) เพิ่มขึ้นเนื่องจากโรงไฟฟ้ามีรายได้ค่าขายไฟฟ้าเพิ่มขึ้น ขณะที่รับรู้ส่วนแบ่งขาดทุนของ บริษัท ผลิตไฟฟ้า นวนคร จำกัด (NNEG) เนื่องจากราคาค่าเชื้อเพลิงที่ปรับตัวสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
บริษัทมีกำไรจากการดำเนินงานก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) 12,811.71 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 9.4% และมีกำไรสุทธิ 5,782.07 ล้านบาท ลดลง 26% จากปี 2564