xs
xsm
sm
md
lg

“อายลิ้งค์” เร่งปั้นแบรนด์ลดเสี่ยง “KT” เพิ่มสาขารับตลาดแข่งแรง

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ผู้จัดการรายวัน 360 – ตลาดรวมแว่นตาในไทยมูลค่ากว่า 8,000 ล้านบาท คาดว่าปีนี้เติบโตไม่มาก หลังจากที่ปีที่แล้วตลาดรวมโตพุ่งกว่า 100% ไปแล้ว ด้านอายลิ้งค์ เร่งปั้นแบรนด์ตัวเอง ลดเสี่ยงบริษัทแม่มาทำเอง ปีนี้เพิ่มใหม่อีก6 แบรนด์เสริมทัพ ด้านเคทีออพติค ลุยเปิดสาขาใหม่ 8 แห่ง

 


นายประพันธ์ ผดุงเกียรติสกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท อายลิ้งค์ วิชั่น จำกัด เปิดเผยว่า ตลาดรวมแว่นตาโดยรวมทั้งระบบค้าส่งและค้าปลีก ในปี2566 นี้คาดว่าจะมีการเติบโตเพียง 5% เท่านั้น โตน้อยกว่าเมื่อเทียบกับปีที่แล้ว โดยจะมีมูลค่าตลาดรวมประมาณ 7,000 – 8,000 ล้านบาทเท่านั้น เนื่องจากว่าตลาดรวมในปีที่แล้วมีการเติบโตไปมากเมื่อเทียบกับปีก่อนช่วงเกิดโควิด
อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยก็ยังถือเป็นตลาดแว่นตาที่ใหญ่และมีศักยภาพอย่างมากเมื่อ่เทียบกับประเทศในเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ด้วยกัน อย่างกรณี แว่นตาแบรนด์ดิออร์ ยอดขายสูงที่สุดอยู่ในไทย

เพราะผู้บริโภคมีการซื้อสินค้าซื้อแว่นตาไปจำนวนมากแล้วเมื่อปีที่ผ่านมาที่ทำให้ตลาดโตมาก ซึ่งตลาดค้าส่งปีที่แล้วเติบโตมากกว่า 100% ขณะที่ช่วงโควิดตลาดรวมค้าส่งตกลงมากกว่า 50%


สอดรับกับที่นายชัชวาลย์ วณิชไพสิฐ กรรมการบริหาร บริษัท กรุงไทย ออพติค จำกัด ในฐานะผู้ประกอบการค้าปลีกร้าน KT OPTIC ที่กล่าวว่า ตลาดรวมปีนี้คงจะโตไม่มาก เพราะปีที่แล้ว ตลาดเริ่มกลับมาฟื้นคึกคักพอควร คนซื้อไปมากแล้ว หลังจากที่ตลาดซบเซาไปสองปีช่วงโควิด ถึงขนาดที่มีลูกค้าจำนวนมากไม่สามารถมาใช้บริการที่ร้านได้่จากการปิดเมือง ขอให้บริษัทไปบริการตรวจวัดตัดแว่นตาที่บ้าน

“ตลาดรวมแว่นตาในระบบค้าปลีก ปีที่แล้วโตประมาณ 5% ซึ่งโดยเฉลี่ยก็เติบโตประมาณนี้อยู่แล้ว ช่วงหลังโควิดตลาดเติบโตมาก เพราะหลังจากที่คนต้องทำงานอยู่ที่บ้านหรือเวิร์คฟอร์มโฮมมานาน ทำให้คนใช้สายตามากขึ้น จึงมีการตัดแว่นตาและซื้อเลนส์สายตาที่มีคุณภาพมากขึ้น” นายชัชวาลย์ กล่าว


นายประพันธ์ กล่าวถึงแผนธุรกิจของ อายลิ้งค์ วิชั่น จากนี้ว่า จากการที่ทำค้าส่งมานาน และสร้างแบรนด์ให้กับแว่นตาแบรนด์ต่างประเทศมามากมายจนติดตลาด สิ่งที่น่ากลัวที่สุดคือ การที่บริษัทแม่เจ้าของแบรนด์เหล่านั้นจะเข้ามาทำตลาดเอง จึงทำให้บริษัทมีแนวคิดที่จะต้องสร้างแบรนด์ตัวเองขึ้นมาเพื่อเป็นการลดความเสี่่ยงทางธุรกิจในอนาคต ซึ่งคาดว่าในช่วง 2-3 ปีนี้จะเริ่มได้

ประกอบกับบริษัทยังมีแผนขยายการรับสิทธิ์จัดจำหน่ายแบรนด์ใหม่ๆเพิ่มอีกต่อเนื่อง เช่นกัน เพื่อรักษาความสมดุลย์ทางยอดขายเอาไว้ ด้วยการมีสองขาคือ แว่นตาแฟชั่น กับ แว่นตาฟังชันนัล เพราะถ้าหากกลุ่มใดตลาดตกลงหรือมีความผันผวนก็ยังมีอีกกลุ่มที่ประคองรายได้ไว้ได้

ปีนี้มีแผนจะขยายอีก 6 แบรนด์เป็นอย่างต่ำ แบ่งเป็นกลุ่มแฟชั่น 3 แบรนด์และกลุ่มฟังก์ชันนัล 3 แบรนด์ เช่น แบรนด์ ออฟไวท์ (Off White), ปาล์ม แองเจิล (Palm Angels) และ พอร์ช ดีไซน์ (Porsche Design ) จากปัจจุบันที่บริษัทมีแบรนด์แว่นตาทำตลาดในไทยรวมมากกว่า 20 แบรนด์แล้ว แบ่งเป็นกลุ่มแฟชั่นและกลุ่มฟังก์ชันนัลอย่างละครึ่ง เช่น ไอซี เบอร์ลิน(ic! berlin) ซึ่งมียอดขายมากที่สุดของบริษัทมากกว่า 45% , จีวองชี่ (Givenchy) , ซิลลูเอท (Silhouette), เคนโซ่ (Kenzo ) เป็นต้น


อย่างไรก็ดี ปัจจุบันต้นทุนดำเนินการทำตลาดแว่นตามีสูงขึ้นจากค่าใช้จ่ายต่างๆแต่บริษัทยืนว่าขณะนี้จะยังไม่มีการปรับราคาจำหน่ายแว่นตาแต่อย่างใดหลังจากที่เพิ่งมีการปรับราคาขึ้นไปบ้างเมื่อปีที่แล้ว โดยปีนี้ตั้งเป้าหมายรายได้รวมไว้ที่ 400 ล้านบาท เพิ่มจากปีที่แล้วที่ทำได้ 350 ล้านบาท

ปีนี้ บริษัท อายลิ้งค์ วิชั่น ยังมุ่งเน้นแว่นตาแนวฟังก์ชั่นนัลเป็นอันดับ 1 เพราะมีความเชี่ยวชาญในการจัดจำหน่ายในประเทศไทยมานานกว่า 20 ปี และได้รับลิขสิทธิ์ในการจำหน่ายแว่นตาฟังก์ชั่นนัลมากเป็นอันดับ 1 ของประเทศด้วย สามารถครองส่วนแบ่งการตลาด แว่นตาฟังก์ชั่นนัลในประเทศไทยเกิน 80% ของตลาดรวม

งบประมาณการลงทุนทุกช่องทาง ไม่ว่าจะเป็น โซเชียลมีเดีย สื่อโฆษณาและประชาสัมพันธ์ การเปิดตัวแบรนด์แอมบาสเดอร์ รวมถึงทีมการตลาดเข้ามาทำงานร่วมกับดีลเลอร์ ในปีนี้สูงกว่าปีที่แล้ว 50% หรือราว 50 ล้านบาท เน้นทำตลาดเชิงรุก ที่สำคัญต้องการขยายฐานลูกค้าจากที่มีอยู่แล้วให้ครอบคลุม 360 องศา เพิ่มความหลากหลายให้กับกลุ่มผู้บริโภค เพศ และ อายุที่เป็นวัยรุ่นมากขึ้น

ล่าสุดกับ ไอซี เบอร์ลิน ดึง แอลลี่-อชิรญา นิติพน มาเป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์คนล่าสุด ดึงกลุ่มผู้บริโภควัยรุ่น วัยทีนที่ชื่นชอบแบรนด์แฟชั่นระดับพรีเมี่ยม โดยคอลเลกชันใหม่นี้ทาง มร.ยัง โคเนอร์ (Mr.Jan Kohne) ประธานบริหาร บริษัท ไอซี!เบอร์ลิน จำกัด ได้ผลิตแว่นตาที่มีสีสันและสไตล์เหมาะกับวัยรุ่นผู้หญิงมากขึ้น สำหรับตลาดกลุ่มผู้ชายนั้น เราต่อสัญญาแบรนด์ แอมบาสเดอร์ ปีที่ 2 กับ หมาก-ปริญ สุภารัตน์ นอกนี้มีการปรับกลยุทธ์การโปรโมทที่เน้นโซเชียลมีเดีย เพิ่มสื่อโฆษณาในแหล่งวัยรุ่น ร่วมมือกับดีลเลอร์และตัวแทนจำหน่ายปรับภาพลักษณ์ หรือจุดขายภายในร้าน เปลี่ยนตู้โชว์ ic!berlin ให้มองเห็นสินค้าเด่นชัดขึ้น ผมคาดหวังว่าปีนี้เราจะได้ยอดขายเพิ่มจากปีที่แล้วอย่างน้อย 5%


นายชัชวาลย์ วณิชไพสิฐ กรรมการบริหาร บริษัทกรุงไทย ออพติค จำกัด หรือ KT OPTIC กล่าวว่า ปัจจุบัน KT OPTIC มีสาขาทั้งสิ้น 160 สาขา ทั่วประเทศ และเตรียมเปิดสาขาเพิ่มอีก 6-8 สาขาทั้งในกรุงเทพและต่างจังหวัด เพื่อรองรับการเติบโตของตลาดที่มีต่อเนื่อง โดยปี 2565 บริษัททำยอดขายได้ 850 ล้านบาท ปี 2566 คาดหวังไว้ที่ 900 ล้านบาท หรือเติบโต 8% เราพุ่งเป้าไปที่ตลาดผู้ซื้อแว่นตาพรีเมี่ยม มีคุณภาพ และเหมาะกับชีวิตประจำวัน ซึ่งกลยุทธ์ในการขายคือเรามีสินค้าซึ่งเป็นที่รู้จักในระดับโลก ทั้งแบรนด์แฟชั่น และ ฟังก์ชันนัลและมีฐานลูกค้าที่แข็งแกร่ง

ปัจจุบัน KT OPTIC และ อายลิ้งค์ฯ ถือเป็นพาร์ทเนอร์ทางธุรกิจที่ทำกันมาต่อเนื่องและยาวนาน ปีนี้จึงใช้โอกาสนี้ในการทำการตลาดร่วมกันอีกครั้ง เชื่อมั่นว่าทั้งสองบริษัทจะมียอดเติบโตขึ้นอย่างแน่นอน

“ฐานลูกค้าของ KT OPTIC ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มลูกค้าระดับกลางถึงบนที่ค่อนข้างมีกำลังซื้อสูง โดยมียอดการใช้จ่ายต่อคนต่อครั้งไม่ต่ำกว่า 20,000 บาท และจากการสำรวจพบว่าผู้บริโภคคนไทยจะมีแว่นตาไว้ในครอบครองต่อคนไม่ต่ำกว่า 15 อัน ทั้ง แว่นกันแดด และ แว่นสายตา ดังนั้นจึงมั่นใจได้ว่ายอดขายของบริษัทเป็นไปตามเป้าหมาย” นายชัชวาลย์ กล่าว

สำหรับแว่นตา ic!berlin คอลเลกชัน 2023 มีชื่อว่า Silk pure Collection (ซิลค์ เพียว คอลเลคชั่น) โดยคอลเลกชันนี้มีทั้งหมด 5 รุ่น ได้แก่ รุ่น Teo, Mea, Lio, Sia และ Lev แต่ละรุ่นจะมีความโดดเด่น แตกต่าง และน่าดึงดูด บ่งบอกเอกลักษณ์เฉพาะตัว นอกจากนี้ ic!berlin ยังได้ครอสโอเวอร์กับแบรนด์ยนตรกรรมของเยอรมนีอย่าง Mercedes Benz ผลิตแว่นตารุ่นลิมิเต็ดอิดิชั่นสุดเอ็กคลูซีฟออกวางจำหน่ายแล้ว โดยงานเปิดตัว ic!berlin 2023 New Brand Ambassador Debut เปิดตัวคอลเลกชัน Silk pure พร้อมแบรนด์แอมบาสเดอร์ หมาก-ปริญ สุภารัตน์ และ แอลลี่-อชิรญา นิติพน ณ ลาน Atrium2 ชั้น G ศูนย์การค้า สยามเซ็นเตอร์






















กำลังโหลดความคิดเห็น