กรมทางหลวงครบรอบ 11 ปี ลุยแผนแม่บท MR-MAP "มอเตอร์เวย์และรถไฟ" ติดระบบ M-Flow ทุกสายทางเพิ่มประสิทธิภาพบริการ ยกระดับความปลอดภัย วางโครงข่ายเชื่อมพื้นที่ท่องเที่ยว อุตสาหกรรม ลดต้นทุนโลจิสติกส์ของประเทศ
เมื่อวันที่ 1 เมษายน 2566 นายอธิรัฐ รัตนเศรษฐ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม รักษาราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เป็นประธานในพิธีวางพวงมาลาเนื่องในวันคล้ายวันสถาปนากรมทางหลวงปีที่ 111 โดยได้รับการสถาปนาขึ้นเป็นกรมเมื่อวันที่ 1 เมษายน ร.ศ. 131 ตรงกับ พ.ศ. 2455 ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว โดยมี นายสราวุธ ทรงศิวิไล อธิบดีกรมทางหลวง พร้อมด้วยคณะผู้บริหาร ข้าราชการ พนักงานกรมทางหลวง เข้าร่วมพิธี ณ บริเวณอนุสาวรีย์ผู้กล้าหาญกรมทางหลวง
ปัจจุบันกรมทางหลวงได้เดินหน้าขับเคลื่อนภารกิจการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านทางหลวงให้มีโครงข่ายที่สมบูรณ์ครอบคลุมทั่วประเทศ และเชื่อมโยงกับประเทศเพื่อนบ้าน ตลอดจนควบคุมและดูแลรักษาทางหลวงที่อยู่ในความรับผิดชอบ จำนวน 1,528 สายทาง ระยะทางรวมกว่า 52,000 กิโลเมตร ให้เชื่อมโยงโครงข่ายระบบการคมนาคมขนส่งอย่างไร้รอยต่อในทุกมิติ และยกระดับความปลอดภัยทางถนนและพัฒนาคุณภาพการให้บริการของระบบทางหลวงอย่างยั่งยืนตามนโยบายของรัฐบาลและสอดคล้องกับแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ปี (พ.ศ. 2561-2580) และยุทธศาสตร์การพัฒนาระบบคมนาคมขนส่งระยะ 20 ปี (พ.ศ. 2561-2580) ที่มุ่งสู่เป้าหมายการเป็นศูนย์กลางการคมนาคมขนส่งและโลจิสติกส์ของภูมิภาคอาเซียน ตามวิสัยทัศน์ “ระบบทางหลวงที่สะดวก ปลอดภัย เชื่อมโยงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ”
สำหรับการดำเนินโครงการที่สำคัญ ได้แก่ 1. การพัฒนาตามแนวพระราชดำริ ได้แก่ โครงการพัฒนาคูน้ำริมถนนวิภาวดีรังสิต เพื่อแก้ไขปัญหาการระบายน้ำบนถนนวิภาวดีรังสิตอย่างยั่งยืน ลดปัญหาการจราจรติดขัด ประชาชนสามารถสัญจรได้ด้วยความสะดวกและปลอดภัย
2. การพัฒนาโครงข่ายทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง (มอเตอร์เวย์) โดยปัจจุบันอยู่ระหว่างดำเนินการก่อสร้างมอเตอร์เวย์ M 6 (สายบางปะอิน-นครราชสีมา), มอเตอร์เวย์ M81 (สายบางใหญ่-กาญจนบุรี), มอเตอร์เวย์ M82 (สายบางขุนเทียน-เอกชัย-บ้านแพ้ว) และมอเตอร์เวย์ M หมายเลข 9 (ถนนวงแหวนรอบนอกกรุงเทพมหานคร ตอน ทางยกระดับบางขุนเทียน-บางบัวทอง หรือถนนกาญจนาภิเษกวงแหวนด้านตะวันตก) ซึ่งอยู่ระหว่างกระทรวงคมนาคมเตรียมเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) อนุมัติการดำเนินโครงการฯ และมอเตอร์เวย์ M7 ส่วนต่อขยายเชื่อมต่อสนามบินอู่ตะเภา อยู่ระหว่างขอตั้งงบประมาณสมทบปี 2567 และเจรจากับแหล่งเงินกู้ พิจารณาจัดหาแหล่งเงินกู้ รวมถึงการดำเนินการจัดทำแผนแม่บทการพัฒนาทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง (MR-MAP) เพื่อพิจารณาวางแนวเส้นทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองร่วมกับแนวเส้นทางรถไฟ
3. การพัฒนาโครงข่ายทางหลวงเพื่อรองรับการขยายตัวทางเศรษฐกิจในพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษ เช่น โครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) เป็นต้น เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพพื้นที่ชายฝั่งทะเลภาคตะวันออกสำหรับรองรับการลงทุนและการขยายตัวภาคอุตสาหกรรมและการท่องเที่ยว ช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ สนับสนุนการเป็นศูนย์กลางการคมนาคมขนส่งและโลจิสติกส์ของอาเซียน
4. การพัฒนาโครงข่ายทางหลวงสายใหม่เพื่อเชื่อมโยงภูมิภาคและประเทศเพื่อนบ้าน ได้แก่ โครงการก่อสร้างสะพานมิตรภาพไทย-ลาวแห่งที่ 5 (บึงกาฬ-บอลิคำไซ) และโครงการก่อสร้างสะพานมิตรภาพไทย-ลาวแห่งที่ 6 (อุบลราชธานี-สาละวัน) อยู่ระหว่างการพิจารณาแหล่งงบประมาณร่วมกับสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว
5. การพัฒนาจุดจอดพักรถบรรทุก (Truck Rest Area) และสถานีตรวจสอบน้ำหนักเพื่อความปลอดภัยในการเดินทางและป้องกันความเสียหายของโครงข่ายทางหลวง และ (6) การพัฒนาตามนโยบายกระทรวงคมนาคมที่สำเร็จเป็นรูปธรรมแล้วและอยู่ระหว่างการพิจารณาดำเนินการเพิ่มเติมเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการให้บริการแก่ผู้ใช้ทาง เช่น การพัฒนาระบบจัดเก็บค่าผ่านทางอัตโนมัติแบบไม่มีไม้กั้น (M-Flow) ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญที่นำระบบเทคโนโลยีมาใช้เพื่อแก้ไขปัญหาการจราจรบริเวณหน้าด่านเก็บเงินบนทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง และการปรับความเร็วสูงสุดบนทางหลวงเป็นความเร็วไม่เกิน 120 กิโลเมตรต่อชั่วโมงสำหรับเส้นทางที่เป็นไปตามหลักเกณฑ์ของกฎกระทรวงกำหนดอัตราความเร็วของยานพาหนะบนทางหลวงแผ่นดินหรือทางหลวงชนบทที่กำหนด พ.ศ. 2564 เป็นต้น
นอกจากภารกิจด้านการก่อสร้างแล้ว กรมทางหลวงยังมีภารกิจในการบำรุงรักษาทางและสะพานบนทางหลวงให้มีความสะดวกและปลอดภัยอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งดำเนินการปรับปรุงทางหลวงและจุดบริการประชาชนให้สวยงามด้วยการปรับปรุงภูมิทัศน์บริเวณพื้นที่โดยรอบตามนโยบาย “คมนาคมสีสัน สร้างสรรค์ประเทศไทย” ซึ่งปัจจุบันมีหลายโครงการได้ดำเนินการแล้วเสร็จและเปิดให้บริการแล้ว เช่น จุดเช็กอินดอยอินทนนท์ บนทางหลวงหมายเลข 1009 จังหวัดเชียงใหม่ และจุดเช็กอินโค้งปิ้งงู บนทางหลวงหมายเลข 213 จังหวัดสกลนคร เป็นต้น
นอกจากนี้ กรมทางหลวงยังให้ความสำคัญต่อการช่วยเหลือสังคมและประชาชนอย่างเต็มที่ ไม่ว่าจะเป็นการจัดตั้งจุดให้บริการประชาชนเพื่อรองรับการเดินทาง, การบริหารจัดการจราจรเพื่อเปิดช่องทางพิเศษร่วมกับตำรวจทางหลวง, การเข้าร่วมดำเนินการช่วยเหลือ ในกรณีอุบัติเหตุและแก้ไขกรณีอุบัติภัยต่างๆ, การอำนวยความสะดวกและความปลอดภัยในการเดินทางช่วงเทศกาลและวันหยุดยาวต่อเนื่อง, การบูรณาการร่วมกับการประปาส่วนภูมิภาคแจกจ่ายน้ำประปาเพื่อช่วยเหลือประชาชนในช่วงสถานการณ์ภัยแล้ง ตลอดจนการดำเนินการเพื่อลดและป้องกันฝุ่น PM 2.5 เป็นต้น