ผู้จัดการรายวัน 360 - เนสท์เล่ทุ่ม 10,000 ล้านบาทลงทุนเพิ่มในไทย เน้นขยายกำลังการผลิตได้อีกไม่ต่ำกว่า 50% ในโรงงาน เนสท์เล่ เพียวริน่า ผลิตอาหารสัตว์เลี้ยงสู่การส่งออกไปทั่วโลก พร้อมสานต่อแนวทางธุรกิจสู่ความยั่งยืน ภายใต้ 2 กลยุทธ์สำคัญ เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภค ภายใต้พฤติกรรมที่เปลี่ยนแปลงไป
นายวิคเตอร์ เซียห์ ประธานกรรมการ และประธานคณะผู้บริหาร เนสท์เล่ อินโดไชน่า เปิดเผยว่า เนสท์เล่มุ่งมั่นดำเนินธุรกิจในประเทศไทยมายาวนานกว่า 130 ปี ปัจจุบันมีพนักงานราว 4,000 คนและทำให้เกิดการจ้างงานทางอ้อมอื่นๆ อีกกว่า 10,000 ตำแหน่ง จากพันธมิตรทางธุรกิจ นอกจากนี้ยังมีการลงทุนอย่างต่อเนื่องในประเทศไทยรวมกว่า 13,600 ล้านบาท ในการเปิดโรงงานใหม่ 2 แห่งช่วงปี 2562- 2565 ซึ่งเนสท์เล่มีความเชื่อมั่นและมุ่งมั่นในการขับเคลื่อนตลาดประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง
ล่าสุดในปี 2566 นี้เนสท์เล่จะมีการลงทุนถึง 10,000 ล้านบาท แบ่งเป็นการลงทุนในโรงงาน จำนวนประมาณ 6,500 ล้านบาท ขยายกำลังการผลิตเพิ่มอีกอย่างน้อย 50% ใน 2 โรงงานเนสท์เล่ เพียวริน่า ที่ระยอง ที่ผลิตอาหารสัตว์เลี้ยงเพื่อส่งออกไปทั่วโลกถึง 95% และอีก 5% สำหรับตลาดในไทย และการที่เลือกลงทุนในไทยครั้งนี้ เพราะเชื่อว่าเราต้องผลิตสินค้าในไทย ทำเพื่อผู้บริโภคชาวไทย เพื่อส่งมอบผลิตภัณฑ์ที่ดีเพื่อส่งมอบให้แก่ผู้บริโภค ขณะที่รายได้รวมเชื่อว่าปีนี้จะเติบโตอีก 3.5-4% ต่อเนื่อง ส่วนเงินทุนอีก 3,500 ล้านบาท ใช้ลงทุนในด้านธุรกิจและการตลาด
อย่างไรก็ตาม ปีนี้แม้ว่าต้นทุนหลายๆ อย่างจะเพิ่มสูงขึ้น และบริษัทยังมีแผนการตลาดบิลต์แบรนด์ แต่ปีนี้ยังใช้งบการตลาดรวมเท่าปีก่อน ซึ่งกว่า 50% จะเน้นไปใช้ในส่วนของดิจิทัล ส่งผลให้บริษัทยังคงราคาสินค้าไว้เท่าเดิม เพราะเราไม่ต้องการผลักภาระให้ผู้บริโภค แม้ต้นทุนจะขยับขึ้น โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับนมต้นทุนขึ้นมาก ทั้งนี้ต้นทุนทั้งหมดโดยเฉลี่ยแล้วขึ้นกว่า 8%
“เนสท์เล่ ไม่เคยประกาศว่าจะไม่ขึ้นราคา แต่บริษัทตระหนักดีถึงสถานการณ์ที่น่าหนักใจที่ผู้บริโภคชาวไทยต้องเผชิญในเวลานี้ เนสท์เล่จึงพยายามอย่างเต็มที่เพื่อลดผลกระทบต่อผู้บริโภค โดยหันไปมองเรื่องการประหยัดต้นทุนที่เป็นไปได้ตลอดห่วงโซ่คุณค่าทั้งหมดของเรา ก่อนที่จะพิจารณาการปรับราคาเป็นทางออกสุดท้าย” นายวิคเตอร์กล่าว
เมื่อเราก้าวสู่ยุคหลังโควิด พบว่าเทรนด์ผู้บริโภคเปลี่ยนไป โดยพบว่าคนไทยหันมาใส่ใจกับการรับประทานอาหารอย่างสมดุล หรือ Balanced Diet มีไลฟ์สไตล์ที่รักษ์โลกมากขึ้น เติมเต็มชีวิตด้านสังคมและจิตใจ ปรับสมดุลการบริโภคเลือกรับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพมากขึ้น รับประทานของหวานหรือขนมที่สร้างความสุขสุนทรีย์เล็กๆ น้อยๆ ให้แก่จิตใจ ประนีประนอมเรื่องรสชาติ ขณะที่ผู้บริโภคที่มีอายุมากกว่า 45 ปีตระหนักถึงความยั่งยืนมากขึ้น รวมถึงคนรุ่นใหม่ที่มีอายุน้อยกว่า 35 ปี หันมาสนับสนุนแบรนด์ที่มีแนวทางด้านความยั่งยืนเช่นกัน เทรนด์ผู้บริโภคที่เปลี่ยนไปเหล่านี้ นำไปสู่การขับเคลื่อนทิศทางและการดำเนินงานของธุรกิจเนสท์เล่ในปี 2023
ดังนั้น ปีนี้และในอนาคตข้างหน้า เนสท์เล่จะเน้น 2 กลยุทธ์หลัก คือ 1. การขับเคลื่อนสิ่งดีๆ เพื่อผู้บริโภค เป็นกลยุทธ์สำคัญในการเสริมสร้างโภชนาการเพื่อสุขภาพและคุณภาพชีวิตที่ดีให้แก่คนไทย มุ่งสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ที่อร่อยขึ้นและดีต่อสุขภาพมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง นำเสนอผลิตภัณฑ์เพื่อให้เป็นตัวเลือกที่ดีต่อสุขภาพให้แก่ผู้บริโภค เช่น การนำเสนอผลิตภัณฑ์ทางเลือกที่ลดน้ำตาล ลดโซเดียม การเสริมวิตามินและแร่ธาตุ พัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ทำจากพืช ให้เป็นตัวเลือกสำหรับผู้บริโภค อาทิ ผลิตภัณฑ์แบรนด์ฮาร์เวสต์ กูร์เมต์ ในรูปแบบขายปลีก
2. ขับเคลื่อนสิ่งดีๆ เพื่อโลกของเรา เพื่อให้มั่นใจว่าผลิตภัณฑ์และการดําเนินงานของเนสท์เล่มีความยั่งยืน โดยมีหนึ่งกลยุทธ์หลักในขับเคลื่อนสิ่งดีๆ เพื่อโลกของเรา (Good for the Planet) เพื่อบรรลุเป้าหมาย Net Zero ในปี 2050 ซึ่งจะเป็นสิ่งที่กําหนดทิศทาง และการดำเนินงานหลักๆ ของบริษัท และตลอดหลายปีที่ผ่านมา ได้มีความคืบหน้าเป็นอย่างมากในทุกด้าน อาทิ 95% ของบรรจุภัณฑ์เนสท์เล่ประเทศไทย ได้รับการออกแบบให้สามารถนำไปรีไซเคิลได้ มีการใช้พลังงานทดแทนในกระบวนการผลิต และได้มีการใช้เมล็ดกาแฟที่มีการจัดหาอย่างยั่งยืน 100%