“ศักดิ์สยาม” ลั่นสายสีส้มพร้อมเดินหน้า หลังศาลปกครองสูงสุดยกฟ้อง รอ รฟม.สรุปข้อพิพาท ชี้ "คมนาคม" มีฝ่ายกฎหมายตรวจสอบเพื่อความรอบคอบตาม พ.ร.บ.ร่วมทุนฯ 62 ปัดตอบเสนอ ครม.ได้เมื่อใด
วันที่ 1 มี.ค. 2566 นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยถึงกรณีที่ศาลปกครองสูงสุดมีคำพิพากษายกฟ้องในคดีที่บริษัท บีทีเอส ฟ้องคณะกรรมการคัดเลือกฯ โครงการรถไฟฟ้าสายสีส้มช่วงบางขุนนนท์-มีนบุรี (สุวินทวงศ์) กรณีแก้ไขเปลี่ยนแปลงหลักเกณฑ์และวิธีการพิจารณาผู้ชนะมิชอบ ว่า หลังจากนี้การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) จะต้องดำเนินการขอคัดคำพิพากษาอย่างเป็นทางการ เพื่อดูรายละเอียดของคำพิพากษา รวมถึง รฟม.และฝ่ายกฎหมาย รฟม.ต้องตรวจสอบว่าการฟ้องร้องโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้มมีคดีใดบ้างและแต่ละคดีอยู่ในสถานะใด
หาก รฟม.พิจารณาแล้วว่าได้ดำเนินการตาม พ.ร.บ.การร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน พ.ศ. 2562 ครบถ้วน ข้อพิพาทต่างๆ นั้นไม่มีคดีใดที่จะมีผลหรือมีประเด็นที่กระทบหรือเกี่ยวข้องต่อการปฏิบัติตาม พ.ร.บ.ร่วมลงทุนฯ 2562 รฟม.สามารถส่งผลการคัดเลือก พร้อมแนบคำพิพากษาเสนอมาที่กระทรวงคมนาคมได้ตามขั้นตอนที่จะเป็นอำนาจการพิจารณาของกระทรวงคมนาคมตาม พ.ร.บ.ร่วมทุนฯ 2562 แต่หากยังมีคดีพิพาทอยู่ รฟม.ต้องตรวจสอบว่ายังมีประเด็นที่จะกระทบ หรือต้องรอกระบวนการทางศาลสิ้นสุดก่อนหรือไม่
ทั้งนี้ หากเสนอมาที่กระทรวงฯ ปลัดกระทรวงคมนาคมและฝ่ายกฎหมายกระทรวงฯ จะดำเนินการตรวจสอบรายละเอียดทั้งหมดตามระเบียบข้อกฎหมาย ที่เกี่ยวข้อง หากดำเนินการครบถ้วน ไม่มีปัญหาใดๆ ปลัดฯ คมนาคมจึงจะเสนอรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ซึ่งในขั้นตอนนี้ รมว.คมนาคมจึงจะมีอำนาจในการพิจารณาตามขั้นตอนของ พ.ร.บ.ร่วมทุนฯ 2562 และหากตรวจสอบแล้วไม่มีปัญหาใดๆ จึงจะนำเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาต่อไป ทุกอย่างเป็นไปตามอำนาจหน้าที่
นายศักดิ์สยามกล่าวว่า คดีการฟ้องร้อง โครงการรถไฟฟ้าสายสีส้มนั้น รฟม.จะต้องตรวจสอบและแยกว่าคดีใดที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการดำเนินการตาม พ.ร.บ.ร่วมลงทุนฯ 2562 เพราะบางคดีเป็นการฟ้องร้องตัวบุคคล ที่อาจจะยังไม่ถึงที่สุด ซึ่งตอนนี้ตนยังไม่เห็นคำพิพากษา ดังนั้นให้ รฟม.ดำเนินการตามระเบียบกฎหมาย เมื่อสรุปเสนอมาที่กระทรวงฯ ก็จะมีฝ่ายกฎหมายตรวจสอบอีกชั้นหนึ่ง และเมื่อเสนอมาที่ รมต.คมนาคมก็ยังมีคณะทำงานด้านกฎหมายตรวจสอบอีก ซึ่งขั้นตอนนี้จึงจะถือว่า รมต.คมนาคมมีอำนาจพิจารณา ซึ่งเป็นประเด็นที่สังคมอาจจะยังไม่เข้าใจว่าการดำเนินโครงการตาม พ.ร.บ.ร่วมลงทุนฯ 2562 นั้นแตกต่างจาก พ.ร.บ.จัดซื้อจัดจ้างฯ ตามระเบียบพัสดุฯ
“บางคนอาจจะเข้ามาว่าผมในฐานะรมต.คมนาคมมีอำนาจ สามารถเข้าไปแทรกแซง ซึ่งไม่ใช่เพราะเรื่องนี้เป็น พ.ร.บ.ร่วมลงทุนฯ 2562 ซึ่งขณะนี้ขั้นตอนสายสีส้มยังอยู่ในอำนาจ รฟม. หาก รฟม.ตรวจสอบแล้วว่าดำเนินการครบถ้วนตามกฎหมาย ไม่มีประเด็นก็เสนอมาที่กระทรวงฯ ตอนนี้ผมและกระทรวงฯ ยังไม่มีอำนาจหน้าที่ใดๆ รู้เรื่องจากข่าว มีคนบอกว่า รมต.ละเว้น ก็ต้องบอกว่าไม่ใช่ เพราะตอนนี้ยังไม่มีอำนาจพิจารณา และยังไม่สามารถให้ความเห็นได้จนกว่า รฟม.จะส่งเรื่องมา”
นายศักดิ์สยามกล่าวว่า กรณี ครม.หมดวาระแล้วเป็น ครม.รักษาการจะยังมีอำนาจพิจารณาเห็นชอบเรื่องสายสีส้มหรือไม่นั้น เรื่องนี้ต้องดำเนินการตามรัฐธรรมนูญที่กำหนดอำนาจของ ครม.รักษาการ ซึ่งบอกว่าอะไรที่เป็นการดำเนินงานตามแผนงานที่มีอยู่แล้วก็สามารถดำเนินการต่อได้ เช่น กรณีการดำเนินโครงการตามงบประมาณรายจ่ายปี 2566 ก็สามารถดำเนินการต่อไปได้จนครบ
อย่างไรก็ตาม ฝ่ายกฎหมายจะพิจารณาก่อน ไม่ใช่เป็นรัฐบาลรักษาการแล้วทุกอย่างต้องหยุดนิ่ง ตอนนี้ต้องตรวจสอบระเบียบ หากจะไปต่อต้องถูกต้อง เรารอมานานแล้ว จะทำอะไรต้องรอบคอบ อย่าให้เกิดข้อสงสัย หากมีคำถามต้องอธิบายได้ เพราะประเทศชาติเสียโอกาสกับข้อสงสัยแบบนี้มาเยอะมากแล้ว
@ชี้ "ชูวิทย์" มีหลักฐานเงินทอน 3 หมื่นล้านบาท รีบส่งมา อย่าเก็บไว้เอง
สำหรับกรณีที่กระทรวงคมนาคมได้ออกเอกสารถึงนายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ วันที่ 27 ก.พ. 2566 ขอให้ส่งเอกสารหลักฐาน กรณีที่ได้กล่าวอ้างถึงการเรียกรับเงินจากโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้มจำนวน 30,000 ล้านบาท ให้กับกระทรวงคมนาคมภายใน 15 วันนั้น นายศักดิ์สยามกล่าวว่า กระทรวงฯ ได้ปฏิบัติตามกฎหมาย ส่วนนายชูวิทย์จะส่งมาหรือไม่ก็เป็นสิทธิ ขณะนี้รอให้ครบ 15 วันก่อน ว่าจะมีการจัดส่งเอกสารหลักฐานมาหรือไม่อย่างไร หากส่งมากระทรวงฯ จะตรวจสอบ หากเรื่องนี้มีมูลจะตั้งคณะกรรมการสอบสวน หากไม่มีมูลก็ชี้แจงแสดงเหตุผลไปกับผู้ร้อง
แต่หากนายชูวิทย์ไม่ส่งเอกสารมา ก็ถือว่า ประสงค์ไม่ใช้สิทธิร้องตามกฎหมาย ขอให้ รออีก 12 วัน ยืนยันตนทำงานไม่มีอคติ ส่วนจะฟ้องนายชูวิทย์หรือไม่นั้น ตอนนี้ยังตอบไม่ได้ แต่ที่มีการกล่าวหาว่าทุจริตถึง 3 หมื่นล้าน โอนเงินไปที่ธนาคารสิงคโปร์นั้น ขอเรียกร้องให้นำหลักฐานมาแสดงอย่าเก็บไว้คนเดียวไม่งั้นท่านจะถูกกล่าวหาซะเอง เพราะเงิน 3 หมื่นล้านถือเป็นเรื่องใหญ่มาก